วันอังคารที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2561

รักพระเจ้าทุกอย่างจบลงด้วยดีแน่นอน

"แต่ท่านไม่รู้เรื่องของวันพรุ่งนี้ ชีวิตของพวกท่านเป็นเหมือนอะไร? ก็เป็นเหมือนหมอกที่ปรากฏอยู่เพียงชั่วครู่แล้วก็จางไป" (ยก.4:14)

1 ปีที่ผ่านมาได้เรียนรู้ว่า
- ไม่มีอะไรอยู่กับเราเสมอ และไม่มีใครอยู่กับเราตลอดไป
- สิ่งที่เราคิดว่า 'แน่นอน' แต่ผลลัพธ์กลับไม่ใช่
- ทุกสิ่งในโลกเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา แม้แต่จิตใจเราเอง
คนที่เคยรัก เคยเรียกเราว่าอาจารย์ มาวันนี้เปลี่ยนไป เหลือแค่ 'คนเคยรู้จัก'

คนบางคนผ่านเข้ามาเป็น 'บทเรียน' ให้จดจำ
จงเรียนรู้ให้มากว่า
- คนที่รักเรา คือ 'ของขวัญ'
- คนที่เรารัก คือ 'ยาชูกำลังใจ'
- คนที่ชังเรา คือ 'เครื่องมือ' ที่สร้างเรา
- คนที่เราชัง คือ 'เครื่องเอ็กซเรย์' นิสัยเราแท้จริงเช่นไร?
เมื่อมีสิ่งดีให้ 'ชื่นชม' เมื่อมีสิ่งร้ายให้ 'พินิจพิจารณา' (ปญจ.7:14) ไม่สำคัญว่าอะไรจะเกิด แต่สำคัญว่าเราจะรับมืออย่างไร? พระคำสั่งให้เรา "ขอบพระคุณ" ทุกกรณี เพราะ
- เราวางใจ ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นจะก่อเกิดผลดีแก่เรา (รม.8:28)
- เราเชื่อใจ เราไม่เผชิญสิ่งใดเพียงลำพังแต่  โดยพระองค์จะทรงทำให้เป็นไปได้ทั้งสิ้นเอง (ฉธบ.31:6, 1พศด.28:20, ฟป.4:13)
- เราแน่ใจ "ผลลัพธ์ทั้งสิ้น" อยู่ในพระหัตถ์พระเจ้า (สภษ.16:33)
- เราหวังใจ พระเจ้ามีแผนงานที่ดีสำหรับเรา เพื่อสวัสดิภาพมิใช่เพื่อทุกขภาพ (ยรม.29:11)

คริสเตียนสิ่งเดียวที่ต้องเชื่อเสมอ คือ "พระเจ้าทรงรักเรา" (ยรม.31:3) นี้เป็นรากฐานชีวิต หากเมื่อไรรากฐานนี้สั่นคลอนชีวิตก็อันตราย

"ถ้ารากฐานถูกทำลายเสียแล้ว คนชอบธรรมจะทำอะไรได้?" (สดด.11:3)

หากไม่เชื่อ "พระเจ้ารัก" เราก็จะหวั่นไหวต่อสถานการณ์ง่ายๆ เพราะโดยทั่วไปแล้วเราจะมีความมั่นใจในคนๆหนึ่งเพราะเราแน่ใจว่า 'เขารักเรา' เพราะคนรักกันไม่มีวันทิ้งกัน เมื่อเราเชื่อพระเจ้าทรงรัก ก็แสดงว่าเรามั่นใจ "พระเจ้าจะไม่มีวันทอดทิ้งเรา" (ฮชย.11:8-9, รม.8:32) เพราะความรักของพระเจ้าแน่นอนและเป็นถาวรนิรันดร์ (สดด.89:33, อสย.54:10)

ไม่จำเป็นต้องน่ารักมาก หรือดีกว่าใครๆ หรือรับใช้อะไรแค่ไหน เพราะความสำเร็จที่เราทำได้ไม่ใช่เครื่องวัดว่า 'ทรงรักเรามากขึ้น' เพราะสำหรับพระองค์แล้ว "ทรงรักแม้ว่าเราจะเป็นอย่างไร?" ต่างหากละ!

แต่ที่เรารับใช้มากขึ้น ทำตัวน่ารักกว่าเดิม หรือเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ที่ดีขึ้น หรืออดทนกับบางสิ่งมากขึ้น นั้นเพราะ 'พลังแห่งรัก' ที่คอยขับเคลื่อนอยู่ภายในเรา ทำให้เรายินดีที่จะทำและพร้อมที่จะเผชิญทุกสิ่ง ความรักได้เปลี่ยนแปลงเราให้มี "จิตใจเข้มแข็งและกล้าหาญขึ้น" (ยน.21:17-19) เพราะ "ความรักรุนแรงอย่างความตาย และร้อนแรงกว่าประกายไฟ" (พซม.8:6)

เราเปลี่ยนแปลงได้เพราะรัก แต่พระเจ้าทรงรักก่อนเรารู้จักพระองค์ (1ยน.4:10) แค่รักให้มากกว่าเดิมอะไรๆก็ทำได้ทั้งสิ้น อย่าลืมพระเยซูตรัสว่า "หากเรารักพระองค์ เราก็สามารถจะเชื่อฟังพระเจ้าได้ทุกเรื่อง" (ยน.14:23) เพราะความรักจะทำลาย 'ทุกข้ออ้าง' ของเราให้เหลือเพียง 'เหตุผลข้อเดียว' คือ "เพราะรักจึงยอมทุกอย่าง" ดังเช่น พระเยซูทรงเป็นอย่างไรละ ... ความรักขจัดทุกความกลัวหมดไป (1ยน.4:18) ทำให้ไม่ทรงกลัวความตายบนไม้กางเขนยังไงละ!?

ฉะนั้น "พระพรที่ดีที่สุด" สำหรับเรา คือ "พระเยซูคริสต์" ที่พระเจ้าประทานให้เรา (ยน.3:16) และ "ของขวัญที่ดีที่สุด" ที่เราควรมอบให้พระองค์นั้นไม่ใช่สิ่งของหรืออะไรๆ หากแต่คือ "ความรัก" ที่เราจะมีต่อพระเจ้าให้มากขึ้นกว่าเดิมอย่างไรละ รักที่มากกว่ารักตัวเอง แล้วเราจะรู้เองว่า "จะมีชีวิตเพื่อพระคริสต์ในแต่ละวันได้อย่างไร?" (อฟ.3:16-19, ฟป.1:19-26)

รักพระเจ้าทุกอย่างจะจบลงด้วยดีแน่นอน!

PS. เนตรศักดิ์ ใสรังกา

วันพุธที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2560

เป็นหนึ่งเดียวกัน

สิ่งที่เชื่อมเราให้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า คือ "ความเชื่อ ความศรัทธา" วันนี้ ไม่ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้น จงเชื่อและศรัทธาในพระเจ้าเสมอว่าพระองค์จะไม่ทรงทอดทิ้งทุกๆคนที่เชื่อและศรัทธาในพระองค์แน่นอน (ฉธบ.31:6)

วันนี้ ... ได้นั่งลงทบทวนกับตนเองว่า...;
- ทำไมคริสเตียนคนที่รักพระเจ้า ... จึงยังพบกับความทุกข์ยากลำบากอยู่?
- ทำไมบางคนยังเจ็บป่วยอยู่ แม้จะอธิษฐานแล้วก็ไม่ได้รับการรักษาจากพระเจ้าเลย?
- ทำไมเรายังเจ่อะเจอปัญหาอยู่เรื่อยๆ ทั้งที่ๆเรามีพระเจ้าผู้ทรงยิ่งใหญ่สูงสุดอยู่กับตัวเอง?
- ทำไมเรายังถูกข่มเหง ถูกต่อต้าน?
- อธิษฐานก็แล้ว ทำไมพระเจ้าไม่เห็นตอบเลย?
- ทำไมคริสเตียนบางคนยังมีพฤติกรรมไม่ต่างอะไรกับชาวโลก พระเจ้าไม่ทรงทำอะไรหรือ?
และ ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม.........!!!!!"

สาธุการพระเจ้าพระบิดานิรันดร์องค์สันติราช พระมหากษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งปวงในโลกนี้ พระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์สูงสุดเพียงพระองค์เดียว ความยิ่งใหญ่ของพระองค์ก็เหลือจะพรรณนาได้จริงๆ (1ทธ.6:15-16)

ความคิดและพระปัญญาของพระเจ้าก็สูงยิ่งกว่าฟ้าสวรรค์ การที่เราจะสามารถเข้าใจทั้งหมดได้นั้นยากจริงๆ ยิ่งคิดยิ่ง "ไม่เข้าใจ" เลยจริงๆ

"แต่ข้าพเจ้าเล่า เท้าของข้าพเจ้าเกือบสะดุด ย่างเท้าของข้าพเจ้าจวนพลาดเต็มทีแล้ว เพราะข้าพเจ้าริษยาคนจองหอง เมื่อข้าพเจ้าเห็นความสมบูรณ์พูนสุขของคนอธรรม ... ข้าพเจ้าได้รักษาใจให้สะอาด และชำระมือด้วยความบริสุทธิ์ก็เปล่าประโยชน์แน่ทีเดียว เพราะข้าพเจ้ารับภัยอยู่วันแล้ววันเล่า และถูกตีสอนอยู่ทุกเช้า" (สดด.73:1-2, 13-14)

ฮาๆๆๆๆๆ+ สรรเสริญพระเจ้า เมื่อได้นั่งลงอธิษฐานถามพระเจ้าว่า "ทำไม ทำไม ทำไม ...???" พระเจ้าทรงตรัสในจิตใจลึกๆว่า "จงเชื่อ" เท่านั้น

ขอบพระคุณพระเจ้าเมื่อได้นั่งลงภาวนาพระคำ ฮีบรู บทที่ 11 สรรเสริญพระเจ้า ผมต้องกลับใจใหม่ต้อง "เชื่อ" เท่านั้นจริงๆ พระเจ้าช่างยิ่งใหญ่และทำสิ่งที่ผมคาดไม่ถึงได้เสมอจริงๆ นี่ละผมเลยเรียกว่า "ปาฏิหารย์ที่เหนือกว่าทั้งมหัศจรรย์และอัศจรรย์ของโลกนี้จริงๆ"

หากไม่เชื่อ เราก็จะไม่เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า เพราะพระเจ้าทรงสัญญาว่า "หากไม่เชื่อก็จะไม่ได้เห็น" (ฮบ.11:6, ยน.11:40) สวนทางกับโลกที่บอกเราว่า "เห็นแล้วจึงเชื่อ" นี่ละ...พระเจ้าจึงทรงเตือนเราว่า อย่าให้เราทำอย่างโลกนี้ทำ แต่จงแสวงหาที่จะรู้จักพระเจ้าผ่านความเชื่อ แล้วเราจึงจะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระองค์ (มธ.6:32-33)

ความเชื่อ เป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ นอกจากจะเชื่อมเราให้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าแล้วยังทำให้เรามีความหวังใจที่จะเดินไปกับพระองค์ ทำให้เราสามารถอดทนต่อทุกสิ่งได้ ทำให้เรามีกำลังที่จะทำสิ่งต่างๆได้ (ฮบ.11:32-35)

นี่ละความเชื่อจึงเปรียบเสมือนโล่ และเกราะป้องกันอก [หัวใจ] ที่จะดับลูกศรเพลิงแห่งความกลัว ความสงสัยของมารซาตานได้จริงๆ (อฟ.6:16, 1ธส.5:8)

สรุป...คำตอบที่พระเจ้าทรงประทานให้
1.ปัญหาใดๆ โรคร้ายใดๆ หรือแม้แต่มารซาตานไม่ใหญ่เกินพอจะแตะต้องหรือทำอันตรายอะไรผู้เชื่อได้ แต่มันสามารถทำให้เรา "สงสัย และเลิกเชื่อวางใจในพระเจ้าได้" (ปฐก.3:4-6) เพราะ "ผู้ใดแตะต้องเจ้า ก็ได้แตะต้องแก้วพระเนตรของพระองค์" (ศคย.2:8)

2.เมื่อเราเชื่ออย่างเดียวไม่พอ ต้องพิสูจน์ความเชื่อผ่านการกระทำของเรา (ยก.2:22) ไม่เพียงแค่การอธิษฐานด้วยความเชื่อเท่านั้น แต่ต้องอดทนและรอคอยจนกว่าจะได้รับคำตอบตามที่ได้อธิษฐาน (ฮบ.10:35-39)

3.ไม่ว่าคำตอบที่ได้จะดีหรือไม่? ... จะถูกใจเราหรือไม่? จงขอบพระคุณเสมอ เพราะพระเจ้าแม้จะรักเรามากเพียงใด พระเจ้าทรงใส่พระทัยเราแต่จะไม่ทรงตามใจเราเสียทุกเรื่อง พระองค์อาจจะทรงยอมให้เราเสียใจในวันนี้มากกว่ายอมให้เราต้องเสียคนในวันข้างหน้า ... และเชื่อว่า "สิ่งที่ดีกว่า" กำลังมาแทนสิ่งที่เราคิดว่าดี! (1ธส.5:18)

4.ไม่ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้น จงตั้งสติ นิ่งสงบและอธิษฐาน แล้วจงเชื่อเท่านั้น นึกถึงหลักการ "ความรัก" ที่ยิ่งใหญ่ (ยรม.31:3)
4.1.พระเจ้ารักเราที่สุด (ฮชย.11:8)
4.2.เมื่อไม่ได้อะไรดั่งใจ จงกลับไปดูข้อ 4.1.
4.3.เมื่อเจอปัญหา หรืออุปสรรค จงกลับไปดูข้อ 4.1.
4.4.เมื่อพระเจ้าไม่ตอบคำอธิษฐาน จงกลับไปดูข้อ 4.1.
4.5.เมื่อต้องสูญเสียบางคน หรือบางสิ่งที่เรารักไป จงกลับไปดูข้อ 4.1.
{ใคร่ครวญ อิสยาห์ 48:9-19}

5.คำอธิษฐานเป็นของเรา แต่คำตอบทุกสิ่งมาจากพระเจ้า ให้ทุกอย่างแล้วแต่พระเจ้าจะทรงพระกรุณา เพราะเราเป็นทาสของพระองค์ อย่าบังคับพระองค์ด้วยคำอธิษฐานของเรา อย่าจำกัดพระองค์ด้วยความคิดที่จำกัดของเราเอง (อสย.55:8-9, มก.14:36)

6.ที่พระเจ้าไม่ตอบไม่ใช่เพราะพระองค์ทรงทำไม่ได้ แต่ ... พระองค์ทรงรู้ว่าสิ่งที่เรากำลังร้องทูลขอนั้นมันเล็กน้อย ไม่เหมาะสมกับเราเลย (อฟ.3:20)
"แม้คนเหล่านี้ทุกคนได้รับการรับรองเพราะความเชื่อ แต่พวกเขาก็ยังไม่ได้รับสิ่งที่ทรงสัญญาไว้ เพราะพระเจ้าทรงจัดเตรียมสิ่งที่ประเสริฐยิ่งกว่านั้นไว้สำหรับพวกเรา เพื่อพวกเขาจะถึงความสมบูรณ์ด้วยกันกับพวกเรา...แผ่นดินโลกไม่คู่ควรกับคนเช่นนั้นเลย" (ฮบ.11:39-40)

7.จงเชื่อว่าพระเจ้าทรงมีสิ่งที่ดีกว่าและยิ่งใหญ่กว่าเตรียมไว้รอเราเสมอ สิ่งที่เราคิดไม่ถึง สิ่งที่ตาเราไม่เคยเห็น สิ่งที่หูของเราไม่เคยได้ยิน คือสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้สำหรับทุกคนที่รักพระนามของพระองค์มิใช่หรอ? (1คร.2:9)

ฉะนั้น...จงเชื่อเท่านั้น จงเชื่อมใจของเรากับพระเจ้าให้เป็นหนึ่งเดียวกันผ่านทางความเชื่อ อย่าหวั่นไหว ... พระหัตถ์ของพระเจ้าไม่ได้สั้นเกินกว่าที่จะช่วยให้เรารอดไม่ได้ และหูของพระองค์ไม่เคยตึงที่จะไม่ได้ยินทุกคำร้องทูลของเรา (กดว.11:23, อสย.59:1) จงเชื่อ เชื่อ เชื่อ เชื่อ เพราะพระเจ้าทรงทำให้สำเร็จได้ทุกสิ่งจริงๆ (มก.11:22-24)

แม้วันนี้เราไม่ได้รับคำตอบใดๆจากพระเจ้า ก็จงเชื่อและขอบพระคุณพระเจ้าแล้วเดินตามพระองค์ต่อไป แม้ไม่ได้รับในสิ่งที่ต้องการก็ไม่ได้หมายความว่า "พระเจ้าจะทรงทอดทิ้งเราแล้ว" ไม่เลย ... แต่พระองค์จะทรงนำเราให้เดินต่อไปในแผนการที่แสนสุดวิเศษของพระองค์ที่เต็มด้วยสวัสดิภาพไม่ใช่เพื่อทุกขภาพ (ยรม.29:11) พระเจ้าทรงรักเราและจะไม่ทอดทิ้งเรา (มธ.28:20)

แม้อาจจะมีการสูญเสียบางคน หรือบางสิ่งไป เพราะพระเจ้าไม่ตอบคำอธิษฐาน เช่น ดาวิด (2ซมอ.12:22-23) แต่เดี๋ยวเราก็จะเจอเค้าอีกครั้งหนึ่งในแผ่นดินของพระเจ้าแน่นอน (1ธส.4:13-18)

จงขอบพระคุณแทนการบ่นดีกว่านะครับ!

เอเมน
Ps.เนตรศักดิ์ ใสรังกา

วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

เมื่อปัญหามารุมเร้า

เมื่อปัญหามารุมเร้า เมื่อพายุโหมกระหน่ำพัดมาอย่างน่ากลัว มองไปทางใดไม่เจอทางออก หรือทางที่เป็นไปได้ที่จะรอดชีวิตได้เลย ... "ใจของข้าพระองค์ตรอมตรมอยู่ภายใน และความสยดสยองของความตายโถมทับข้าพระองค์ ความกลัวและความสะทกสะท้านมาเหนือข้าพระองค์ และความหวาดกลัวก็ครอบงำข้าพระองค์" (สดด.55:4-5)

ลูกทำได้แค่นี้เองจริงๆหรอ? คือ สาธุการพระเจ้า ขอบพระคุณพระเจ้า และสรรเสริญพระเจ้า (โยบ 1:21)

แต่เมื่อทบทวนชีวิต พระคุณพระเจ้ามีมากพอจริงๆ เพราะความรักมั่นคงของพระเจ้าดำรงอยู่ตลอดไปเป็นนิตย์ (พคค.3:20-24)

พระเจ้าไม่ได้ทรงช่วยกู้ให้รอดเพราะกำลัง หรือสติปัญญาของเราเอง หรือด้วยคนมั่งมี หรือด้วยคนที่แข็งแรง แต่พระหัตถ์พระเจ้าทรงช่วยกู้เพราะความรักมั่นคงของพระเจ้าดำรงอยู่กับเราตลอดไปเป็นนิตย์เสมอ (1ซมอ.14:6, 17:45-47, 2พศด.20:15-17)

ตอนนี้ แม้การช่วยกู้จะยังมาไม่ถึงทันใจของเรา แต่พระเจ้าทรงยืนยันกับเราว่า "เราจะไม่ทอดทิ้งเจ้า และจะทรงมาทันเวลาแน่นอน" (กดว.11:23)

เมื่อเราเริ่มสับสน ท้อแท้ และความเหน็ดเหนื่อยเข้ามาเกาะกุมหัวใจของเรา เราก็ได้เผลอทำบาปต่อพระองค์นั่นคือ ผมกำลังเลิกไว้วางใจในพระเจ้า (มธ.8:24-26) ... !

คำอธิษฐาน ;
"ข้าแต่พระเจ้าโปรดทรงขนาบข้าพระองค์ และบังคับข้าพระองค์ให้เท้าของข้าพระองค์กลับมาสู่ลู่วิ่งชีวิตในเส้นทางแห่งการเชื่อฟังต่อไป โปรดยื่นพระหัตถ์จับหน้าข้าพระองค์ให้ดวงตาจับจ้องที่พระพักตร์พระบิดาผู้ทรงเต็มเปี่ยมด้วยความรัก และความเมตตาอย่างมั่นคงนิรันดร์ต่อข้าพระองค์ตลอดไป เพื่อที่เท้าของข้าพระองค์จะไม่ลื่นไถลล้มลงอย่างเจ็บปวด และเพื่อที่จิตใจของข้าพระองค์จะไม่หวั่นไหวเต็มไปด้วยความกลัวอีกต่อไป...พระเจ้า (สดด.55:16-19, 73:26, 80:17-18)

ยิ่งข้าพระองค์อ่อนแอมากเท่าไร ข้าแต่พระเจ้าขอทรงเพิ่มเติมความรัก และสันติสุขของพระองค์ให้หลั่งไหลเข้ามาสู่จิตใจของข้าพระองค์มากขึ้นเท่านั้น โปรดให้ริมฝีปากของข้าพระองค์ที่จะกล่าวคำขอบพระคุณแทนการบ่นด้วยเถิด (สดด.42:6-8, ฟป.4:6-7, 1ธส.5:18)

ยิ่งทุกข์เท่าไร ขอให้ข้าพระองค์ยิ่งกลับรู้สึกและมั่นคงในความรักที่มีต่อพระองค์ให้มากยิ่งๆขึ้นด้วยเถิด ให้รักพระเจ้ามากยิ่งกว่าเมื่อวานนี้ เพราะโดยความรักนั้นข้าพระองค์จะสามารถยืนอย่างนิ่งสงบได้ เพราะพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้าที่ทรงยืนอยู่เคียงข้างข้าพระองค์ ณ ตรงจุดนั้นที่ข้าพระองค์กำลังยืนเผชิญอยู่ แล้วด้วยอำนาจแห่งความรักนี้...จะยึดข้าพระองค์ไว้ และพระคุณพระเจ้าจะล้อมข้าพระองค์ไว้ทุกด้าน แล้วข้าพระองค์จะกางปีกบินทะยานขึ้นไปดั่งนกอินทรีสู่พระบิดาที่ทรงรักและห่วงใยข้าพระองค์เสมอ แล้วข้าพระองค์จะได้รับการเสริมกำลังใหม่ เพื่อข้าพระองค์จะเดินแล้วไม่อ่อนเปลี้ย ข้าพระองค์จะวิ่งแล้วจะไม่เหน็ดเหนือยเลย ... เพราะข้าพระองค์เลือกจะซ่อนตัวในพระเจ้าที่รักข้าพระองค์มากที่สุดแล้ว เอเมน" (สดด.84:1-7, 89:1-2, 33, อสย.40:30-31, ยรม.17:14, 31:3)

เช่นที่โมเสสอธิษฐานว่า ;
"ขอทรงให้ข้าพระองค์ทั้งหลายอิ่มความรักมั่นคงของพระองค์ในเวลาเช้า เพื่อข้าพระองค์ทั้งหลายจะได้ร้องเพลงด้วยความชื่นบานและยินดีตลอดเวลาของพวกข้าพระองค์ ขอทรงให้ข้าพระองค์ทั้งหลายยินดีให้มากวันเท่ากับที่พระองค์ได้ทรงให้พวกข้าพระองค์ทุกข์ยากนั้น และให้มากปีเท่ากับที่พวกข้าพระองค์ได้ประสบสิ่งร้าย" (สดด.90:14-15)

แล้วเราจะกล่าวอย่างดาวิดว่า ;
"สาธุการแด่พระเจ้า เพราะว่าพระองค์ไม่ทรงปฏิเสธคำอธิษฐานของข้าพเจ้า และไม่ทรงเอาความรักมั่นคงของพระองค์ไปจากข้าพเจ้า" (สดด.16:20)

"เพราะพระองค์ทรงจุดตะเกียงของข้าพระองค์ พระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพระองค์ทรงทำความมืดของข้าพระองค์ให้สว่าง" (สดด.18:28)

ความหวังที่อยู่ในพระเจ้า ... จะไม่จบลงที่ความอับอาย
ความเชื่อที่อยู่ในพระเจ้า ... จะไม่จบลงที่ความตาย
ความรักที่อยู่ในพระเจ้า ... จะไม่จบลงที่ความเจ็บปวด
แต่จะเป็นเกียรติ ชื่อเสียงดี ความมั่งคั่ง และชีวิตที่เต็มเปี่ยมด้วยสันติสุข คือ ผู้ที่เอาจิตใจอยู่ในพระเจ้า (อสย.54:4-17, 61:7)

แล้ววันนี้ ... จิตใจของเราอยู่ที่ใด หรืออยู่ที่ใคร?

Ps.เนตรศักดิ์ ใสรังกา

วันอาทิตย์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2559

หากอยากให้ผู้อื่นเคารพคำพูดของเรา

หากอยากให้ผู้อื่นเคารพคำพูดของเรา ... ก็จงทำให้ผู้อื่นเคารพในตัวเราก่อน

"สักแต่ใช้คำพูดเท่านั้น จะสั่งสอนคนก็ใช้ไม่ได้
เพราะแม้เขาจะเข้าใจ แต่เขาก็ไม่เข้าใจ" (สภษ.29:19)

เอกลักษณ์ของแต่ละคน ... เราต้องมีและรักษาไว้
แต่อย่าให้ความต่าง ... ทำให้เราแตกแยก
เพราะ "จงรักเพื่อนบ้าน เหมือนรักตนเอง" (กท.5:14)

เพราะความฉลาดของมารซาตาน คือ มันสามารถใส่ความคิดของมันในความคิดของเรา แล้วให้เรารู้สึกว่าสิ่งนั้นเป็นความคิดของเราเอง

เราต้องรู้จักพระเจ้าอย่างแท้จริง ... รู้ว่าพระองค์เป็นใคร อย่างที่ทรงเป็น มิใช่ พระองค์ทรงเป็นอย่างไร ในแนวความคิดของเรา เพราะทรงพระนามว่า "เราเป็น ซึ่งเราเป็น" (อพย.3:14)

เมื่อเรารู้ว่าพระองค์ทรงเป็นใครในชีวิตเรา เราจะอยากพบพระองค์ เราจะอยากนั่งลงเพื่อจะเรียนรู้จักพระองค์ ... ใคร่ครวญพระวจนะและอธิษฐาน
เราควรเน้นความเชื่อในพระเยซูคริสต์ก่อน แล้วเราจะพบว่า พระองค์ทรงสามารถช่วยเราได้ทุกสิ่ง!

"ในผู้อื่นความรอดไม่มีเลย เพราะว่านามอื่นซึ่งให้เราทั้งหลายรอดได้นั้น ไม่โปรดให้มีท่ามกลางมนุษย์ทั่วใต้ฟ้า" (กจ.4:12)

ระวัง ... อย่าให้ ยิ่งงานเจริญขึ้น ยิ่งจะเข้าหาพระเจ้าได้น้อยลง จงเข้ามาใกล้ และติดสนิทกับพระเจ้า หากแยกจากพระองค์ ก็ยากที่จะเกิดผลได้จริงๆ (ยน.15:4-5)

การหว่านเป็นงานของเรา การเกิดผลเป็นงานของพระเจ้า (1คร.3:6-7)
ตลอดทั้งสัปดาห์นี้และสัปดาห์หน้า ต้องนำทีมออกประกาศ และแบ่งปันความรักให้กับผู้คนมากมายในหลายๆพื้นที่ และในหลายพื้นที่กลับเป็นเรื่องใหม่สำหรับบางคนกับเรื่องพระนาม "พระเยซูคริสต์"
ไม่มีคนไปประกาศ ... พวกเค้าจะได้ยินข่าวประเสริฐได้อย่างไร? เพราะความเชื่อเกิดเพราะเค้าได้ยินข่าวประเสริฐ (รม.10:14-17) และความรอดเกิดขึ้นเพราะเค้าเชื่อในพระคริสต์ (ยน.3:16)

"และถ้าไม่มีใครใช้พวกเขาไป เขาจะไปประกาศได้อย่างไร? ตามที่มีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า 'เท้าของคนเหล่านั้นที่นำข่าวดีมา ช่างงามจริงๆ หนอ' ... ฉะนั้นความเชื่อเกิดขึ้นได้ก็เพราะการได้ยิน และการได้ยินเกิดขึ้นได้ก็เพราะการประกาศพระคริสต์" (รม.10:15, 17)

แม้อาจจะไม่ได้ไป ... แต่การสนับสนุนของท่านก็ทำให้ผู้นำข่าวดีเหล่านั้นไป จึงถือได้ว่า "ข่าวประเสริฐถูกประกาศออกไป ณ ที่ใด ... ท่านก็ไปด้วยกับพวกเขา ณ ที่นั่น [เพราะผู้ถวาย ผู้อธิษฐานเผื่อ และผู้คอยส่งคำหนุนใจมา ... ก็เป็นเสมือนพระหัตถ์พระเจ้าที่มองไม่เห็นสำหรับผู้ที่พระเจ้าทรงใช้พวกเขาให้ออกไปประกาศข่าวประเสริฐนั้นด้วย] ... นี้ละ คือ การทำงานเป็นทีม ต่างเป็นอวัยวะของกันและกันในพระกายนี้จริงๆ และเราก็ได้รับบำเหน็จเท่าๆ กัน รับความโปรดปรานและคำชมจากพระเจ้าเช่นเดียวกันว่า "ดีมาก เจ้าเป็นทาสที่ดี เพราะเจ้าซื่อสัตย์ในของเล็กน้อย เจ้าจงมีอำนาจครอบครองสิบเมืองเถิด" (ลก.19:17)

Ps.เนตรศักดิ์ ใสรังกา

ความสุขที่แท้

"ข้าพเจ้าวางแบบอย่างให้ท่านแล้วในทุกเรื่อง เพื่อให้เห็นว่าโดยการตรากตรำงานแบบเดียวกันนี้ เราต้องช่วยพวกที่มีกำลังน้อยและระลึกถึงพระวจนะของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า ตามที่พระองค์ตรัสว่า 'การให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ'"
(กจ.20:35)

มิใช่เพราะ ... 'แกแล้ว' หรือ 'ไร้ความสามารถ' หรือ 'ไม่มีเวลา' หรือ 'มีไม่มากพอ' หรือ 'สุขภาพไม่ดี' หรือเพราะอะไรๆ ... ที่เราเอามาเป็นเหตุผลที่จะไม่รับใช้ [แท้ที่จริงล้วนเป็น 'ข้ออ้าง' ทั้งสิ้น] ... จริงๆแล้วที่เราไม่ทำ ที่เราให้ไม่ได้ ... มิใช่เพราะ 'มีน้อย' หรือ 'ไม่มี' แต่เพราะ 'ใจ' เรายังรักพระเจ้า และมีความเชื่อไม่มากพอต่างหากละ! (มก.9:19, ฮบ.13:5)

ทุกสิ่ง ... ขึ้นอยู่ที่ 'ใจ' หากมี 'ใจ' ก็มี 'หนทาง' ที่จะสามารถทำได้ เพราะว่าการรับใช้ คือ 'การให้' อย่างพระเจ้าทรงประทานพระบุตรองค์เดียวอย่างไม่นึกเสียดายเพื่อเราทุกคน (รม.8:32) เพราะเหตุผลเดียว คือ 'รัก' มากกว่าที่จะทนเห็นเราต้องพินาศ

หากไม่มี 'ใจ' อะไรๆก็เป็น 'ภาระ' ทั้งหมด
แต่หากว่ามี 'ใจ' อะไรๆก็เป็น 'พระพร' ทั้งสิ้น

"อย่าเป็นหนี้อะไรใครเลย นอกจากความรักซึ่งมีต่อกัน เพราะว่าผู้ที่รักคนอื่น ก็ได้ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติครบถ้วนแล้ว" (รม.13:8)

"แต่ถ้าใครมีทรัพย์สมบัติในโลกนี้ และเห็นพี่น้องของตนขัดสนแล้วยังไม่เปิดใจช่วยเขา ความรักของพระเจ้าจะดำรงอยู่ในคนนั้นได้อย่างไร?" (1ยน.3:17)

"อย่าพูดกับเพื่อนบ้านของเจ้าว่า 'ไปเถอะ แล้วค่อยมาใหม่ พรุ่งนี้ฉันจะให้' ในเมื่อเจ้ามีให้อยู่แล้ว" (สภษ.3:28)

เพราะว่าธรรมะของพระเจ้า คือ ความเมตตา ช่วยเหลือผู้อื่น (ยก.1:27) "เขาใจกว้างและให้ยืมเสมอ และพงศ์พันธุ์ของเขาก็เป็นพระพร" (สดด.37:26) คนขับผีได้ คนพูดภาษาแปลกๆได้ หรือคนทำการอิทธิฤทธิ์ต่างๆได้ หรือแม้แต่นักเทศน์ ศิษยาภิบาล นักประกาศ ผู้นำนมัสการ หรือคณะกรรมการคริสตจักร ... ตำแหน่งๆใดในคริสตจักรไม่ใช่สิ่งการันตีว่าเราจะได้เข้าในแผ่นดินของพระเจ้าเลย หากแต่ผู้มีใจเมตตาอย่างพระเจ้าต่อผู้อื่นต่างหากละ ถึงจะได้เข้าในแผ่นดินของพระเจ้า (มธ.7:21-23, 25:34-40)

สุดท้ายแล้ว ... มนุษย์ทุกคนก็มี 'ความเห็นแก่ตัว' กันทั้งสิ้น ไม่เว้นแม้แต่ตัวของผู้รับใช้เอง เหตุนี้อ.เปาโลกล่าวว่าอุปนิสัยของคนในวาระสุดท้ายสิ่งแรกเลยคือ 'ความเห็นแก่ตัว' (2ทธ.3:2)

เราเทศนาเรื่อง 'ความเชื่อ' ... แต่กลับทำสิ่งที่ตรงข้าม เราคำนึงถึง 'ความพอและไม่พอ' ของเราเองก่อนที่จะแบ่งปัน
ใช่ ... ทุกๆคนต่างเป็น 'ผู้ให้' ได้ดีอย่างพระคริสต์ แต่น้อยคนที่จะเป็น 'ผู้เสียสละ' ยินดีให้ในสิ่งที่ 'จำเป็น' ของตนเอง หากสิ่งนั้นมันจำเป็นต่อคนอื่น (มก.10:29)

พระเจ้า ... ผู้ทรงเป็นตรีเอกานุภาพทั้งพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณฯ ได้ทรงเสียสละพระบุตรองค์เดียวจากสวรรค์มาเพื่อเรา ... ทำให้สวรรค์ว่างเปล่าไม่มีพระบุตร ก็เพื่อเรา ที่ทรงทำเช่นนั้นก็เพราะ 'รัก' คำเดียว จึงไม่มี 'ข้ออ้าง' อะไรที่จะทำไม่ได้ หรือจะให้ไม่ได้

พระเจ้า ... ไม่ทรงชอบ 'ความว่างเปล่า' เพราะจักรวาลว่างเปล่าพระองค์จึงได้เนรมิตสร้างสิ่งต่างๆให้เต็มทั่วจักรวาล ... และเพราะเรือของเปโตรที่ว่างเปล่า เมื่อมีพระเยซูคริสต์ก็มีปลาเต็มลำเรือจนล้นไปสู่เรือของคนอื่นด้วย (ลก.5:1-7)

แท้จริงแล้ว ... การเสียสละ คือ การยอมให้ในสิ่งที่จำเป็นของเราแก่ผู้อื่น เพื่อให้มีพื้นที่ว่างเปล่า แล้วรอคอยพระเจ้าที่จะเข้ามาเติมให้เต็มล้น เพราะ "จงให้เขา แล้วพวกท่านจะได้รับด้วยแบบยัดสั่นแน่นพูนล้นเต็มหน้าตักของท่าน เพราะว่าเมื่อท่านตวงให้เขาเท่าไร ท่านก็จะได้รับการตวงกลับคืนไปเท่านั้นเช่นกัน" (ลก.6:38) แล้วอย่ากังวล "...พระบิดาของพวกท่านผู้สถิตในสวรรค์ทรงทราบแล้วว่าท่านต้องการสิ่งทั้งปวงนี้" (มธ.6:32)

เมื่อสวรรค์ว่างเปล่า ... ก็เพื่อจะมีพื้นที่ให้คุณและผมที่จะเข้ามาเติมให้เต็ม เพราะ "ในพระนิเวศของพระบิดา ... มีที่อยู่มากมายที่พระเยซูทรงเตรียมไว้รอสำหรับเรา" (ยน.14:2) ฉะนั้น ... จงทำให้คริสต์มาสสมบูรณ์ด้วยการให้ และมากกว่าการได้ให้คือการได้เสียสละเพื่อพระเจ้าและแผ่นดินของพระเจ้า อย่ากังวลว่าจะพอหรือไม่พอ ... เพราะทุกสิ่งเป็นของพระเจ้า และพระเจ้าทรงเป็นเจ้าของเงินและทอง หากแค่มี 'ใจ' อะไรๆก็เป็นพระพรที่มือของเราจะยื่นออกไปให้ เมื่อไรที่มือเราว่างเปล่า พระเจ้าจะทรงเติมให้เต็มล้นเพื่อให้เรามีเหลือเฟื่อเพื่อการดีและการแจกจ่ายต่อไป ... แล้วมือของเราจะช่วยผู้ที่มีกำลังน้อยได้สามารถทำสิ่งที่ประสงค์จะทำให้สำเร็จได้ (2คร.9:6-10)

นี่ละ ... ความสุขที่แท้จริง เพราะ "การให้เป็นเหตุให้มีความสุขมากยิ่งกว่าการได้รับ" ... "อย่าละเลยที่จะทำความดี และแบ่งปันข้าวของซึ่งกันและกัน เพราะเครื่องบูชาอย่างนั้นเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า" (ฮบ.13:16)

Ps.เนตรศักดิ์ ใสรังกา