วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ลิ้นจี่

สูตรลิ้นจี่ลอยแก้ว หรือลิ้นจี่ในน้ำเชื่อม

ส่วนผสม :

ลิ้นจี่  ......         3 ถ้วยตวง

น้ำเชื่อม....    4.5 ถ้วยตวง

น้ำมะนาว....      1 ชต.

ภาชนะ :

เตรียมกล่องพลาสติกมีฝาปิดสนิทไว้

~~~~~~~~~~~~

วัตถุดิบ :

ลิ้นจี่....... 3 ถ้วยตวง

ปลอกเปลือก แล้วกว้านเมล็ดออก  ล้างด้วยน้ำเปล่าผสมน้ำส้มสายชู 1 ชต. สะเด็ดน้ำให้แห้ง

~~~~~~~~~~~~

น้ำเชื่อม 50% : 

ส่วนผสม :
น้ำปริมาณ 3 ถ้วยตวง 
น้ำตาลทราย 1 1/2 ถ้วยตวง

ตั้งไฟให้เดือด ให้น้ำตาลละลายหมด ยกลงพักให้อุ่นๆมือแตะภาชนะได้ 

~~~~~~~~~~~~~

วิธีทำลิ้นจี่ลอยแก้ว :


นำลิ้นจี่มาใส่ในกล่องที่เตรียมไว้ 
ใส่น้ำมะนาว 1 ชต. ลงในน้ำเชื่อม คนให้เข้ากัน
เทน้ำเชื่อมลงในกล่อง ปิดฝา

นำไปแช่เย็นช่องธรรมดา 12 ชม. ก็รับประทานได้

ถ้าต้องการทำเก็บไว้ใช้ได้นาน ก็สามารถนำไปแช่ช่องฟรีซได้

ความรู้เกี่ยวกับสารอาหารและประโยชน์ของลิ้นจี่

ลิ้นจี่เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามิน และเกลือแร่ 

เช่น วิตามิน   บี 1 วิตามินบี 2 ไนอะซีน 

วิตามินเอ ซี วิตามินบี 6 วิตามินอี โปแตสเซี่ยม 

ทองแดง สังกะสี ฟอสฟอรัส ซีลีเนียม โฟเลต 

และมีเส้นใยอาหารสูง 

นอกจากนี้มีกรดอะมิโนที่เป็นโครงสร้างของโปรตีน

ได้แก่ ไทโรซีน แอสปาราจีน อะลานีน ทรีโอนีน 

วาลีน และสารประกอบไกลซีน 

น้ำมันจากเมล็ดลิ้นจี่มีสารประกอบ 

เป็นกรดไขมันที่สำคัญเช่น ปาล์มมิติก 12% 

โอลิอิก 27% และไลโนเลอิค 11% 

สรรพคุณทางยา 

จีนใช้ เนื้อในผล  กินเป็นยาบำรุง แก้อาการไอเรื้อรัง แก้อาการคัดจมูก รักษาอาการท้องเดิน   ลดกรดในกระ-เพาะอาหาร และบรรเทาอาการไม่ปกติของระบบทางเดินอาหาร 


ในประเทศจีนใช้เปลือกผลลิ้นจี่ทำเป็นชา ใช้ชงเพื่อบรรเทาอาการหวัด แก้การติดเชื้อในลำคอ อาการท้องเสียอย่างอ่อน และโรคจากการติดเชื้อไวรัส 

ตำรายาจีนกล่าวเฉพาะเมล็ดลิ้นจี่ 

ว่ามีรสหวาน ขมเล็กน้อย สรรพคุณอุ่น ทำให้พลังชี่ขับเคลื่อน ลดอาการปวด 

ใช้กรณีปวดท้อง ปวดไส้เลื่อน ปวดบวมของอัณฑะ ใช้ขนาด 5-10 กรัม โดยมักผสมกับสมุนไพรอื่นอีก หนึ่งหรือสองชนิด 

เมล็ดลิ้นจี่ ที่แห้ง ควรนำมาบด คั่วให้แห้งโดยผสมด้วยน้ำเกลือ แล้วจึงเติมน้ำลงไปต้ม น้ำดื่ม หรือทำเป็นผง รับประทานหรือใช้ ผงยาพอกบริเวณมีอาการปวดบวม

รากลิ้นจี่หรือเปลือกต้นใช้แก้อาการติดเชื้อ ไวรัส อีสุกอีใส และเพิ่มความสามารถระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย

สำหรับ งานวิจัยซึ่ง ยังต้องการพิสูจน์ซ้ำเพื่อให้ได้ผลยืนยัน พบว่า สารสกัดเมล็ด ด้วยน้ำขนาด 0.6 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ให้แก่ผู้ที่เป็นพาหะโรคไวรัสตับชนิด บี ใช้ได้ผลดีในการยับยั้งเอ็นไซม์ตับที่สูงขึ้น

งานวิจัยเปลือก ของผลลิ้นจี่มีสารกลุ่มฟลาโวนอลที่สำคัญคือ โพรไซยาไนดินบี 4 ไพรไซยา- ไนดินบี 2  และอีพิคาเทชิน ส่วนที่สำคัญคือ ไซยาไนดิน - 3 -  รูตินโนไซด์ ไซยาไนดิน- 3 กลูโคไซด์ เควอเซทิน – 3 - รูติโนไซด์ และเควอเซทิน - 3 - กลูโคไซด์ มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูง และสารสกัดเปลือกยัง มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของเซลล์ มะเร็งเต้านม ทั้งในห้องทดลองและในสัตว์ทดลอง โดยยับยั้งการขยายจำนวนเซลล์ การควบคุมการสื่อสารระหว่างเซลล์มะเร็ง และเหนี่ยวนำให้เกิดการตายของเซลล์มะเร็ง

รายงานวิจัยที่ทำในประเทศจีนอื่นๆยังพบว่า สารสกัดลิ้นจี่ลดขนาดเนื้องอกในสัตว์ทดลอง แต่ไม่ได้ระบุว่าเป็นสารสกัดส่วนใดของลิ้นจี่ 

สำหรับงานวิจัย นักวิทยาศาสตร์ของไทย พบว่าสารสกัดผลลิ้นจี่มีฤทธิ์ในการปกป้องตับ ในหนูที่เหนี่ยวนำให้ได้รับสารพิษ และเป็นโรคตับ

ผลการใช้ลิ้นจี่และผลวิจัยจากสารสกัดลิ้นจี่ แสดง ศักยภาพของลิ้นจี่ ไม่เพียงแต่มีรสอร่อย แต่ยังมากด้วยคุณค่าทางยา 

อย่างไรก็ดี เนื้อผลลิ้นจี่ ยังมีสารประกอบที่พบในการวิจัยและคาดว่าเป็นสาเหตุทำให้เกิด อาการ “ ร้อนใน ” ได้ การรับประทานลิ้นจี่มากเกินไปอาจเกิดอาการดังกล่าวได้ ควรรับประทานอาหารหลากหลาย โดยเฉพาะอาหารรสเย็น เพื่อให้เกิดความสมดุลและแก้อาการดังกล่าว

  : บทความ : รศ.ดร.ภญ.พาณี ศิริสะอาด
  : ภาพ : สุภฎารัตน์ สุธีพรวิโรจน์

วันเสาร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

Wild Yeast from Dried Banana

Wild Yeast ยีสต์ป่า คือยีสต์จากธรรมชาติค่ะ

ยีสต์จัดอยู่ในจำพวกอาณาจักรของเชื้อรา
ยีสต์ธรรมชาติจึงมีอยู่ทั่วไปรอบๆตัวเรานี่แหละค่ะ 

สามารถเลี้ยงมันขึ้นมาได้จาก ผลไม้ แป้ง และน้ำ

หรือมีเพียงแป้ง น้ำ และอากาศ แค่นี้ก็สามารถเป็นแหล่งกำเนิดยีสต์ได้แล้วค่ะ
ในบล็อคนี้จะไม่ค่อยลงรายละเอียดข้อมูลเกี่ยวกับยีสต์มากซักเท่าไหร่ ถ้าใครสนใจก็สามารถหาอ่านได้ตามเว็ปวิทยาศาสตร์ต่างๆจะได้รู้ลึกซึ้งมากกว่า

เอาล่ะค่ะ...เรามาพูดถึงวิธีการที่จะทำให้เกิดยีสต์ขึ้นก่อนนะคะ... จะเรียกว่า จับยีสต์ หรือปลุกยีสต์ ก็ตามสะดวก (เป็นศัพท์ที่ตุ๊กตั้งขึ้นเองค่ะ) ... เรียกแบบไทยๆ เพราะไม่รู้วิชาการเขาเรียกกันยังไง

จะจับอะไรก็ต้องมีเยื่อล่อ หรือแหล่งอาหารใช่ไหมคะ
เราก็ใช้ "แป้ง" ซึ่งเป็นแหล่งอาหารโดยตรง หรือจะเป็น..."พืช ผัก และผลไม้"....ที่มีแป้งเป็นส่วนประกอบหลักก็จะได้ยีสต์ที่โตเร็ว หรือมีการเกิดปฎิกิริยาเร็วและแรงกว่าผลไม้ที่มีแป้งเป็นส่วนประกอบน้อย "คำว่าแป้งในผลไม้ของเราในที่นี้ เราเรียกตามประสาหมอพื้นบ้านนะ" (ไม่ได้เรียนมาทางสายวิทย์โดยตรงก็ไม่ค่อยรู้หรอกว่า ภาษาวิทยาศาสตร์เขาเรียกว่าอะไร)
ดูยังไงว่าผักหรือผลไม้ อันไหนมีแป้ง ...สังเกตุง่ายมากค่ะ เมื่อผลไม้พวกนี้ยังดิบอยู่ เราปอกเปลือกหรือสับหั่นมัน มักจะมีแป้งขาวๆติดที่มีดเสมอ และเราสามารถตากแห้ง บดมันเป็นผงได้ อย่างนี้เรียกว่า ผลไม้ที่มีแป้งค่ะ

พวก มะม่วง กล้วย มัน เผือก แครอท ขิง พริกไทย ขมิ้นชัน  สะตอ ลูกเนียง พาลงใต้ไปโน่นเลย
คราวนี้คงจะนึกกันออกแล้วใช่ไหมคะว่า ชนิดไหนแป้งมาก ชนิดไหนแป้งน้อย

...อย่าเพิ่งฮา..ขำกันนะคะว่า... ยัยหมอนี่...เพี้ยนป่าว!!! เอาอะไรมาสอนกันคะ มีพืชผักสวนครัวซะด้วย... เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังตอนต่อไปค่ะว่า...ผักสมุนไพรพวกนี้มีความสำคัญยังไง และเอามาเลี้ยงยีสต์ได้ด้วยเหรอ?????
( ทำให้นึกถึงคุณลุงคนนึง แกก็เป็นคนทำยาเหมือนกัน แต่แกจบแบบสมัยใหม่ แกชอบให้เรียกแกว่า... "ลุงเพี้ยน หรือ หมอเพี้ยน" ชื่อจริงก็จำไม่ได้ เศร้า!! ( แกรวย...ไฮโซถือว่าเป็นผู้ใหญ่ในวงการเชียวล่ะ เลยไม่อยากจำชื่อจริง ...เรามันหมอโลโซ ) แต่นั่นไม่สำคัญ เท่ากับที่แกเป็นเพื่อนคุยเรื่องสมุนไพร การสกัดทำยา และรักษาโรค ได้ถูกคอ โคตะระมันมากกกกก ( ก ไก่ ล้านตัว )

กลับเข้าเรื่องการจับยีสต์กันต่อดีกว่า

ยีสต์จะกินแป้งได้ต้องมี "น้ำ" และ เมื่อยีสต์มีชีวิตแล้ว (...ถึงเรียกว่า การปลุก ) มันต้องอาศัย"อากาศ"ในการหายใจ

ดังนั้นเราจึงเตรียมอุปกรณ์....

1. ขวด หรือกล่องพลาสติกที่มีฝาปิดสนิทได้
เข้าตู้เย็นได้ไม่เกะกะ แนะนำให้ใช้เป็นขวดแก้วค่ะ เพราะผลไม้เวลาหมักแล้วเป็นกรด

2. หม้อหรือกะละมัง และทัพพี สำหรับต้มผลไม้

วัตถุดิบ....
1. ผลไม้ ( กล้วย มะม่วง ดิบ สุก หรือ ตากแห้งก็ได้ ทุกเวอร์ชั่นแม้กระทั่งเกือบเน่า ) กะปริมาณว่า แกะเมล็ดออกหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ใส่ขวดได้เกือบเต็ม พอดีคอขวด

2. น้ำเปล่า สำหรับ ต้ม ( ใช้น้ำกรองก็ดีนะ )

วิธีทำ....

1. ตวงน้ำให้พอดีกับภาชนะที่เราจะใช้หมัก

2. ต้มจนเดือดจัด ใส่ผลไม้ลงไป ต้ม 2 นาที
   ปิดไฟ รีบเอาขึ้น....   
   อย่าให้ผลไม้สุกด้วยความร้อน

3. ตักเนื้อผลไม้ใส่ขวดแก้ว รอน้ำอุ่นๆ ค่อยเท
   ลงขวด ให้พอดีกับคอขวด
   เหลือที่ว่างอยู่เพียงเล็กน้อย ปิดฝา
   ให้นับว่า...เป็นวันที่ 1

4. วันรุ่งขึ้น คือวันที่ 2 เปิดฝา
   เช็คสภาพดู สัก 2 ครั้ง

5. วันที่ 3 ถ้าเห็นมีฝ้าขาวบางๆ   
   ลอยอยู่บนผิวหน้า แสดงว่า มีกระบวนการ
   หมักเกิดขึ้นแล้วค่ะ
   แม้ยังจะไม่เห็นฟองอากาศเลย
   เอาช้อนมาคนให้ทั่ว ให้แผ่นฝ้าจมลง
   และกลืนไปกับเนื้อผลไม้ คนครั้งเดียวพอ
   ปิดฝาอย่าแน่นมาก (ปิดแน่นอาจระเบิดได้)
   และหาภาชนะมา รองรับน้ำหมักที่จะ
   ไหลล้นออกมา ภายในเวลา 12-18 ชม. 😁  

   *** แต่ถ้าไม่มีฝ้าขาวๆ ก็ยังไม่ต้องคน
   การคนจะช่วยปฏิกิริยาเร็วขึ้น😉

6. วันที่ 4 ถ้ามีฟองอากาศฝุดเต็มทั่วทั้งขวด
   แทรกอยู่ตามเนื้อผลไม้ แสดงว่า
   "ยีสต์ใช้ได้แล้ว"
   หรือมีการไหลล้นออกมานอกขวด   
   ก็แสดงว่ายีสต์แข็งแรงดีแล้ว...

   นำน้ำหมักยีสต์ไปทำ Levain  ต่อไปได้เลย

7. หากเทน้ำหมักไปใช้เท่าไหร่ ก็ให้เติมน้ำอุ่น
   กลับเข้ามาเท่านั้น
   และคอยคนอยู่เสมอทุกวัน

8. หากเกินจากวันที่ 4 ให้นำเข้าตู้เย็น
   คอยชิมดู ถ้าเริ่มมีรสเปรี้ยว ก็ให้นำไปทำ
   เป็น Sourdough Starter  ต่อไปได้เลย

ATTENTION!!!!

ระวังอย่าให้ขึ้นรา หรือมีกลิ่นเหม็นบูด
ถ้าเป็นเช่นนั้นให้เททิ้ง ล้างแช่ภาชนะทุกชิ้น ในน้ำต้มเดือดจัด สะเด็ดน้ำ ตากแดดจัดๆจนแห้งสนิทดี แล้วจึงนำมาใช้

จบกระบวนการทำ Wild Yeast เพียงเท่านี้ค่ะ
.... อ๊ะๆ..คุ้นๆเนอะวิธีนี้ !!!!... ใช่ค่ะ!!!!!
มันคล้ายการทำน้ำหมักชีวภาพอย่างมาก
แค่เราตัดน้ำตาลทรายแดงออก แล้วเติมน้ำเข้าไปเท่านั้นเองค่ะ

สงสัยสิ่งใด..ฝากคำถามไว้ได้นะคะ...จะมาตอบให้ค่ะ 😍😊😉

ติดตามอ่าน.. SOURDOUGH STARTER ตอนต่อไปนะคะ   ..... ว่าหลังจากหมักจนมันเปรี้ยวแล้วเราจะทำอะไรต่อไป

ขอบคุณทุกท่านค่ะ...ที่ให้ความสนใจบทความนี้ 💐💐💐💐💐💐💐🌹🌷🌹

วันอังคารที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ขนมปังข้าวเจ้า... GLUTEN-FREE BREAD

สำหรับผู้ที่แพ้กลูเตน... เรามีสูตรแป้งเอนกประสงค์มาฝากค่ะ

แป้งเอนกประสงค์กลูเตนฟรี

ส่วนประกอบ :
แป้งข้าวเจ้า    1 ส่วน
แป้งข้าวโพด   1 ส่วน
แป้งมันฮ่องกง 1 ส่วน

สูตรขนมปังกลูเตนฟรี.. ที่เขียนไว้ที่ Facebook
แปะลิ้งค์ไว้ให้นะคะ
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=817950835006584&id=100003750260959

ลิ้งค์นี้ต้องเปิดด้วย Firefox หรือ Chrome นะคะ เพราะGoogle มันจะหาไม่ได้

Capture หน้าจอมาแปะไว้เลยดีกว่า!!! 

ใครดูแล้วสงสัยอะไรทิ้งคำถามไว้ได้นะคะ ...ว่างๆจะมาเขียนเรื่องนี้ใหม่อีกรอบด้วยค่ะ


วันจันทร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

SOURDOUGH STEAMED BUNS ซาลาเปาจากยีสต์หมัก...ขาวจั๊ว นุ้มนุ่ม

ซาลาเปา Sourdough ... เนื้อเหนียวนุ่มเบา ขาวจั๊ว เนื้อก้ำกึ่งระหว่างเนื้อซาลาเปาสูตรยีสต์ กับซาลาเปาหน้าแตก

การใช้ Sourdough เข้ามาเพิ่มในสูตร ช่วยให้เนื้อเปามีความเบา นุ่ม ฟู และขาวขึ้นด้วย เนื้อเปาที่เบาและฟูมากจนเกือบจะเป็นซาลาเปาหน้าแตก หากเราเพิ่มเบกกิ้งโซดา กับแอมโมเนียเบกกิ้งเข้าไป


แปะลิ้งค์ที่โพสต์สูตรไว้อย่างละเอียดในห้องเบเกอรี่โซไซตี้ ในFacebookค่ะ 

https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=815073541960980&id=100003750260959

     ดูเนื้อในกันหน่อย....ฟูนุ่ม..ไม่แพ้ซาลาเปาหน้าแตกเลยค่ะ
สูตรค่ะ