วันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ไทยปังหนมครกกะทิ

เมื่อตอนที่นำเสนอเรื่อง...ขนมปังกะทิอบควันเทียน หรือ ไทยปัง001 ขนมปังกะทิอบควันเทียน ByTuksirinyapatT. เอาไว้ว่า...มีขนมปังสัญชาติไทยอีกตัวที่ตุ๊กมีความภูมิใจเสนอ คือ ไทยปังหนมครกกะทิ...ตัวนี้แหละค่ะ ขนมตัวนี้คลอดออกมาเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน นี้เองค่ะ 

แรงบันดาลใจของสูตรขนมตัวนี้...มันเกิดจากความสนุกและความท้าทายที่ได้ทดลองอะไรใหม่ๆ .... และแนวคิดที่ว่า ... ขนมและอาหารเป็นประวัติศาสตร์ของคน สะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรม และสังคม ของคนในแต่ละชาติในแต่ละยุคสมัย

ก็เลยอยากจะสร้างสรรค์ขนม...ที่สะท้อนถึงวัฒนธรรมการกินอยู่ของคนในยุคสมัยนี้

อย่างไทปังหนมครกกะทิ.. บอกเลยว่า มันสื่อถึงวัฒนธรรมการกินอาหารเช้าที่เปลี่ยนแปลงไปของคนไทย... เมื่อสมัยที่ตุ๊กยังเป็นเด็กเล็กประมาณ 7-12 ขวบ ช่วงนั้นมีคนมาเปิดขายขนมครกที่ทางเข้าแพร่งสรรพศาสตร์ แถวๆหน้าสนพ.อักษรเจริญทัศน์ ซึ่งเป็นปากทางเข้าบ้านของตั่วโกว (คุณป้าใหญ่ ซึ่งเป็นพี่สาวคนโตของพ่อและเลี้ยงตุ๊กมาตอนเด็กๆ) เวลาที่ไปหาท่านก็จะเห็นคนต่อแถวซื้อขนมครกกันยาวเหยียดเหมือนกับที่ต่อคิวกันซื้อโดนัท กับกินชาบูในปัจจุบัน ... เพราะตอนนั้นขนมครกก็เริ่มหากินยากแล้ว ...ตอนนั้นได้ยินผู้ใหญ่เขาพูดกันว่า...ใครขายขนมครกจะรวยเร็ว!!!

สมัยก่อนขนมหรืออาหารไม่ได้มีขายกันทุกชนิดดาดดื่นเหมือนสมัยนี้ พอใครเปิดขายอะไรมันก็ขายง่าย ยิ่งอร่อย ยิ่งมีชื่อเสียงรวดเร็ว... ขนมครกหน้าแพร่งฯก็เช่นกัน

ขนมครกเองก็มีวิวัฒนาการของสูตร... แต่ตุ๊กชอบสูตรโบราณที่กินมาตั้งแต่เด็ก คือผิวกรอบเวลาสุกใหม่และเนื้อด้านในนุ่มนิ่มหวานมันกะทิมีกลิ่นต้นหอม... อันนี้จะเอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม!!!

( เอาไว้โอกาสหน้าจะเอาขนมครกสูตรโบราณมาโชว์ )

ขนมครก...จึงเป็นขนมที่เป็นอาหารเช้า ครองใจคนไทย

ขนมปัง... อาหารเช้าของคนไทยในยุคเร่งรีบ... สมัยยุคนิค รัฐบาลน้าชาติ คนมีรถขับ ทุกบ้านที่พอมีจะกินต้องมีรถขับ จะเดินทางไปไหนต้องเผื่อเวลารถติดกันทีละชั่วโมง..สองสามชั่วโมง ....การจะไปตลาดแล้วรอแม่ค้าแคะขนมครกจึงเป็นไปได้ยากสำหรับคนในยุคนี้... ขนมปังเริ่มเข้ามามีบทบาท และมาคู่กับนมข้นหวาน...ทำให้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ยากจะปฎิเสธความนุ่มและความหวานของขนมปังจิ้มนมข้นกินกับกาแฟร้อนๆในตอนเช้าได้

ขนมปัง  จึงกลายเป็น อาหารเช้าหลัก กินทั้งแบบแซนวิชไส้ต่างๆ หรือแบบปิ้งย่างทานมเนย แยมและ จิ้มสังขยา แทนขนมครกอาหารเช้าดั้งเดิมของคนไทย ที่นับวันจะหายยากที่ทำแล้วอร่อยเหมือนกับที่กินตอนเด็กๆ....

ขนมปัง + ขนมครก จึงเป็นตัวสะท้อนวัฒนธรรมการกินอาหารเช้าของคนไทยเป็นอย่างดี จึงเป็นที่มาของการสร้างสรรค์เมนู.... ไทยปังหนมครกกะทิ... 

ขนมปังตัวนี้ตัวสูตรเป็นลูกผสมของขนม 3 ชนิด
คือ Crumpet , Muffin และขนมครก
ตัวขนมแบ่งออกเป็น 2 ชั้น คือตัวฐาน และหน้าขนม

ตัวฐาน เป็น ขนมที่รวมเอาสูตรและวิธีทำ ของ ครัมเป็ต และมัฟฟิน มารวมกัน

ตัวหน้าขนม เป็น ขนมครกแบบไทยๆ ที่เนื้อขนมเป็น แป้งข้าวเจ้า น้ำตาลทราย และหัวกะทิ

เวลากิน เราจะได้เนื้อและรสสัมผัสของขนม 3 ชนิดนี้พร้อมๆกันเลยค่ะ ทำเก็บแช่ตู้เย็นเอาไว้อุ่นกินกับน้ำชากาแฟ ก็ฟินมาก... เข้ากันกับเครื่องดื่มร้อนๆสุดๆ

สูตรที่ทำในวันนี้..เราก็ใช้ Sourdough Starter อีกเช่นเคย เพราะมันช่วยเพิ่มสารอาหารโดยเฉพาะการบำรุงโลหิตและสมอง ซึ่งเหมาะกับผู้สูงอายุและเด็กอย่างมาก ....

สูตรไทยปังหนมครกกะทิ

ส่วนประกอบ : 

แป้งขนมปัง                             100 กรัม

แป้งเอนกประสงค์                   100 กรัม

Sourdough Starter               100 กรัม

( ไม่มีก็ไม่ต้องใส่ค่ะ...แต่ต้องเพิ่มยีสต์อีก 2 กรัม)

นมสด                          180 และ 30  กรัม

น้ำตาลทราย                                 8 ชต.

ยีสต์                                              2 กรัม

(หากไม่ใช้ Sourdough Starter ให้ใส่ยีสต์ 4 กรัม)

เบกกิ้งโซดา                              1⁄2 ชช.

ไข่ไก่ เบอร์0                                 2 ฟอง

เนยเค็มละลาย                           60 กรัม

กลิ่นบัตเตอร์มิลค์                          1 ชช.


หน้าขนม : ครกกะทิ (แบบที่ 1)

แป้งขนมครกสำเร็จรูปเอราวัณ  100 กรัม

(หรือ ใช้แป้งข้าวเจ้า ก็ได้)

กะทิอบควันเทียน                       300 กรัม

เกลือ                                           1/2  ชช.

น้ำตาลทราย                                   4  ชต.

ต้นหอมซอย 

วิธีทำ :

1. ผสมเกลือ และน้ำตาลลงในน้ำกะทิ คนให้ละลาย

2. ค่อยๆเทกะทิลงในแป้ง ทีละน้อย นวดไปเรื่อยจนเป็นก้อน แล้วจึงหยุดเทกะทิ... นวดแป้งไปประมาณ 10 -15 นาที แล้วค่อยๆเทกะทิที่เหลือจนหมด นวดจนแป้งละลายไม่เป็นเม็ด กรองด้วยกระชอน แล้วพักไว้ รอหยอดหน้าขนม... ก่อนจะหยอดต้องคนทุกครั้ง


หน้าขนม : ครกกะทิ (แบบโบราณ)

แป้งข้าวเจ้า                  1 1/4  ถ้วย

ข้าวสวยสุก                          3  ชต.

มะพร้าวขูด                          3  ชต.

กะทิอบควันเทียน         1 3/4  ถ้วย

เกลือ                                1/2  ชช.

น้ำตาลทราย                        4  ชต.

ต้นหอมซอย

วิธีทำ :

ปั่นแป้ง ข้าวสวยสุก มะพร้าว น้ำกะทิ น้ำตาล เกลือ ด้วยเครื่องปั่นน้ำผลไม้ จนละเอียดเนียนดี แล้วพักไว้ 15 นาที ต้องคนก่อนที่จะหยอดหน้าขนม

..............................................


วิธีทำขนมไทยปังหนมครกกะทิ :

- เตรียมแป้งไว้หยอดหน้าขนม

- วอร์มเตา 200 C


1. อุ่นนม180 กรัมให้พออุ่น ใส่ยีสต์ 

    น้ำตาลทราย และ Sourdough 

    ผสมให้เข้ากันดี


 (ระวังอย่าให้นมร้อนเกิน ยีสต์จะตาย)


2. ร่อนแป้งสาลีอเนกประสงค์ 

     นำส่วนแรกมาเทผสมทีละน้อย 

     ตีให้เข้ากัน จากนั้นแร็ปคลุม

     หน้าแป้งไว้และนำไปไว้ในที่อุ่น    

     พักไว้เป็นเวลา 1ชั่วโมง 

     ให้ฟูขึ้นมาประมาณหนึ่งเท่าตัว


     ** มีผลต่อความนุ่มและการขึ้นฟู


3.  นำไข่ เนย กลิ่นวนิลา ผสมกับ

     เบกกิ้งโซดา นม 30 กรัม     

     แล้วนำมาผสมกับ

     แป้งที่พักแล้ว ตีให้เข้ากัน


4.  ทาเนยจืดที่พิมพ์มัฟฟินจิ๋วให้ทั่ว

     เทส่วนผสมตัวขนมใส่พิมพ์ประมาณ 1/2  

     ของพิมพ์ ใส่หน้าขนมลงไป 1/3 โรยต้นหอม

     คลุมฟลอยด์ปิดหน้าขนม

     *** ต้องคนแป้งก่อนหยอดหน้าขนมทุกครั้ง


5. นำเข้าอบที่ไฟบนล่าง 200 C 

     นาน  5-7 นาที


ตัวนี้ได้โพสต์แจกสูตรไว้ที่หน้าเพจตัวเองในเฟสบุคเช่นเคย...ตามลิ้งค์ด้านล่างเลยค่ะ

https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=838474409620893&id=100003750260959


วันพุธที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2559

เมี่ยงคำยำถั่วลูกไก่

#เมี่ยงคำยำถั่วลูกไก่... อาหารไทยประยุกต์ตำรับของ Med in The Table ( Gloria Kitchen by TuksirinyapatT.)!!! เหมาะสำหรับผู้สูงอายุ จะเป็นอาหารว่าง หรืออาหารมื้อเย็น กินเบาๆ ย่อยง่าย..นอนหลับสบายๆ เป็น #อาหารบำรุงสมอง และ high antioxidants อีกตำหรับนึงเลยค่ะ

ผู้สูงอายุมักมีปัญหาเรื่องฟัน ต้องใส่ฟันปลอม ทำให้ไม่อยากเคี้ยวอาหารแข็งๆ หรืออาหารที่ต้องบดเคี้ยวนานๆ... พฤติกรรมแบบนี้.. ส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างมาก ตั้งแต่ท้องอืด ท้องผูกจนถึง ผู้ป่วยพาร์กินสัน หรือ สันนิบาตลูกนก ในทางแผนไทย มักจะมีปัญหาเรื่อง การบดเคี้ยวอาหาร ส่งผลให้อาการของโรครุนแรงขึ้น
การบริหารเส้นประสาทบริเวณใบหน้าด้วยการเคี้ยวอาหารเป็นการบรรเทาความรุนแรงของโรคได้

สูตรเมี่ยงคำยำถั่วลูกไก่
แบ่งเป็นสองส่วนคือ ยำถั่วลูกไก่ และน้ำเมี่ยงคำ

ยำถั่วลูกไก่
1. ถั่วลูกไก่นึ่งหรือต้มสุก ลอกเปลือกออกแล้ว
2. ขิงอ่อนหั่นเต๋า
3. หอมแดงหั่นเต๋า
4. มะเขือเทศราชินีหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ
5. ต้นหอมสอย
6. น้ำมะนาว
7. ผิวมะนาว
คลุกเคล้าส่วนผสมให้ทั่ว

น้ำเมี่ยง
1. ข่าแก่ป่น... เยอะๆยิ่งอร่อย..  4 ชต.
2. ตะไคร้ป่น...                            2 ชต.
3. มะพร้าวแก่ขูดคั่วให้หอม   1/4 ถ้วย
4. กุ้งแห้งป่น                               2 ชต.
5. น้ำตาลมะพร้าว                   1/2 ถ้วย
6. กะปิปิ้งให้หอม                        1 ชช.
7. น้ำปลา                                    2 ชต.
8. น้ำ                                       4 -6 ชต.

*** สัดส่วนนี้กะไว้คร่าวๆ ใครชอบอะไรมากน้อยก็เพิ่มลดตามชอบ ...

วิธีทำ : นำส่วนผสมขึ้นตั้งไฟให้เดือด เคี่ยวจนข้น ทุกเข้ากัน
ชิมรสให้..หวานนำ..ตามด้วยกลิ่นหอมของสมุนไพร ความมันของมะพร้าว มีกลิ่นอายความหอมของกุ้งแห้งและกะปิ และรสเค็มตาม

เครื่องเมี่ยงคำยำถั่วลูกไก่ :

1. ยำถั่วลูกไก่ที่เตรียมไว้
2. มะนาวทั้งเปลือกหั่นเต๋า (สำหรับผู้สูงอายุจะเคี้ยวไม่ได้ จึงใส่เป็นผิวมะนาวในยำถั่วลูกไก่แทน)
3. หอมแดงหั่นเต๋า
4. ขิงอ่อนหั่นเต๋า
5. พริกขี้หนูสอย
6.ใบเมี่ยง : ชะพลู, ใบทองหลาง, กลีบดอกบัวหลวง, ใบคะน้าอ่อนๆ, ผักกาดหอม, ผักกาดคอส...

(แล้วแต่ความสะดวก.. แต่เข้ากันสุดๆ แบบไทยแท้คือ ใบทองหลาง ใบชะพลู)

7. น้ำเมี่ยงคำ

*** ใครจะเติมเครื่องเมี่ยงคำ..เช่น มะพร้าวคั่ว ถั่วลิสง กุ้งแห้ง มะนาว เพิ่มเข้าไปตามแบบฉบับดั้งเดิมของเมี่ยงคำก็ไม่ผิดอะไร
*** แต่สำหรับสูตรอาหารวันนี้
เราต้องการทำอาหารที่เคี้ยวง่าย เพื่อให้ผู้สูงอายุได้บริหารกรามอย่างไม่ทรมาน ให้เอร็ดอร่อยและกินง่าย..

วิธีรับประทาน.. จัดเครื่องทุกอย่างวางบนใบเมี่ยง แล้วราดน้ำเมี่ยงคำ จัดวางเป็นคำๆให้สะดวกเวลารับประทาน

*** ในปี พ.ศ. 2557 กรมส่งเสริมวัฒนธรรม (สวธ.) ในสังกัดกระทรวงวัฒนธรรม ได้ขึ้นทะเบียนเมี่ยงคำให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ในสาขาความรู้และแนวปฏิบัติเกี่ยวกับธรรมชาติและจักรวาล เพื่อป้องกันมิให้สูญหาย พร้อมกับมรดกทางวัฒนธรรมอย่างอื่น[1]

วันศุกร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2559

สมูทตี้ลิ้นจี่กับมังคุด

ฤดูกาลนี้ผลไม้ออกมาก มีราคาถูกอยู่ 2 อย่างคือ #มังคุด และ #ลิ้นจี่ ถูกแต่มากด้วยคุณค่าทางอาหาร #น้ำมังคุดลิ้นจี่
#สารอาหารต้านอนุมูลอิสระ #เสริมและปรับภูมิคุ้มกัน #High antioxidants

Mangosteen & Lychee Smoothies (4 serves)

1. มังคุดทั้งลูก นึ่งนาน 20 นาที ให้เนื้อในผลเป็นสีแดง ไม่ต้องเอาเมล็ดออก .... 4 ลูก

2. เนื้อในผลมังคุดสด ไม่ต้องเอาเมล็ดออก.... 1 1/2 ถ้วย

3. ลิ้นจี่ในน้ำเชื่อม 50% แช่ฟรีซเป็นน้ำแข็ง... 1 1/2 ถ้วย

(*** เมล็ดที่อยู่ภายในเนื้อมังคุดมีประโยชน์ เป็นสารอาหารที่ร่างกายต้องการ )

การทำลิ้นจี่ในน้ำเชื่อม :

ลิ้นจี่ 3 ถ้วยตวง

ปลอกเปลือก แล้วกว้านเมล็ดออก  ล้างด้วยน้ำเปล่าผสมน้ำส้มสายชู 1 ชต. สะเด็ดน้ำให้แห้ง
เตรียมกล่องพลาสติกมีฝาปิดสนิทไว้

ทำน้ำเชื่อม 50% :
น้ำปริมาณ 3 ถ้วยตวง
น้ำตาลทราย 1 1/2 ถ้วยตวง

ตั้งไฟให้เดือด ให้น้ำตาลละลายหมด ยกลงพักให้อุ่นๆมือแตะภาชนะได้
นำลิ้นจี่มาใส่ในกล่องที่เตรียมไว้
ใส่น้ำมะนาว 1 ชต. ลงในน้ำเชื่อม คนให้เข้ากัน
เทน้ำเชื่อมลงในกล่อง ปิดฝา

นำไปแช่เย็นช่องธรรมดา 12 ชม.
แล้วจึงนำไปแช่ช่องฟรีซ

***ทำเสร็จแล้วควรเสริฟทันที หากทิ้งไว้สีจะเปลี่ยนเป็นสีม่วงอมน้ำตาลเข้มขึ้น

สำหรับคนที่อยากรู้ว่ากินมังคุดแล้วได้ประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไรบ้าง ....เราเห็นว่าทาง เพจข่าวของ ASTV ได้รวบรวมข้อมูล ไว้หลายด้านค่อนข้างจะครอบคลุมมากที่สุด..
จึงคัดลอกมาบางส่วนไว้ให้อ่านกันค่ะ เพราะในBlogใส่ข้อมูลมากแล้วมันอัพโหลดไม่ได้ ใครสนใจฉบับเต็มก็ไปอ่านได้ใน ASTV นะคะ

สาระน่ารู้เกี่ยวกับมังคุด...คัดลอกบางส่วนจากเพจ ASTV

มังคุด : คุณค่าด้านอาหาร

      
       ประโยชน์ของมังคุด
      
       ประโยชน์ของมังคุด สรรพคุณเพียบ
      
       มังคุดเป็นผลไม้จากเอเชียที่ได้รับความนิยมมาก ได้รับขนานนามว่าเป็น "ราชินีของผลไม้" อาจเป็นเพราะด้วยลักษณะภายนอกของผลที่มีกลีบเลี้ยงติดอยู่ที่หัวขั้วของผลคล้ายมงกุฎของพระราชินี ส่วนเนื้อในก็มีสีขาวสะอาด มีรสชาติที่หวานอร่อย
      
       เนื้อมังคุด
      
       มีการนำมังคุดมาประกอบอาหารบ้างทั้งอาหารคาว เช่น แกง ยำ และอาหารหวาน เช่น มังคุดลอยแก้ว แยมมังคุด มังคุดกวน มังคุดแช่อิ่ม ในจังหวัดนครศรีธรรมราชมีการทำมังคุดคัด ด้วยการแกะเนื้อมังคุดห่ามออกมาเสียบไม้รับประทาน ในขณะที่ส่วนใหญ่จะนิยมรับประทางมังคุดสุกเป็นผลไม้ ซึ่งมีประโยชน์ในการช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย มีส่วนช่วยในการชะลอวัยและการเกิดริ้วรอย ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใสอีก
      
       นอกจากนี้ ยังช่วยป้องกันอาการไข้ (ไข้ระดับต่ำ) ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง ช่วยเพิ่มพลังงานแก่ร่างกาย เพิ่มความกระปรี้กระเปร่า ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิว ออกฤทธิ์ต้านสิวอักเสบได้ดี และมีส่วนช่วยป้องกันการเกิดโรคซึมเศร้า ลดความเครียด
      
       การรับประทานมังคุดเป็นประจำ จะช่วยส่งเสริมให้มีสุขภาพจิตดี อารมณ์ดีอยู่เสมอ ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย และลดไขมันที่ไม่ดีในเส้นเลือด มีส่วนช่วยป้องกันการเกิดเนื้องอกในร่างกาย มีสวนช่วยป้องกันการเกิดโรคเบาหวาน ด้วยคุณสมบัติในการลดและควบคุมระดับน้ำตาลอีกด้วย
      
       เนื้อมังคุด มีเส้นกากใยสูง ช่วยเรื่องการขับถ่ายและมีวิตามินเกลือแร่สูงมาก เช่น กรดอินทรีย์ น้ำตาล แคลเซียม ฟอสฟอรัส และเหล็ก

น้ำมังคุด
      
       น้ำมังคุดช่วยปรับระดับภูมิคุ้มกันให้สมดุล ด้วยการหลั่งสาร Interleukin Iและ Tumor Necrosis Factor ช่วยยับยั้งการหลั่งสารฮีสตามีน ลดอาการแพ้ภูมิตนเอง (ในโรค SLE) และลดการอักเสบ ในผู้ป่วยเบาหวาน ตับเสื่อม ไตวาย ข้อเข่าเสื่อม ความดันโลหิตสูง โรคพาร์กินสัน ไทรอยด์เป็นพิษ ความผิดปกติของสมองอันเนื่องจากการอักเสบ
      
       ประโยชน์ของมังคุด
      
       มังคุดกินแล้วอ้วนไหม
      
       หลายคนสงสัยเหลือเกินว่ามังคุดกินแล้วจะอ้วนไหม เรามาดูกันดีกว่าว่าเป็นอย่างไร
      
       แม้มังคุดจะมีรสชาติหวานแต่มีพลังงานต่ำ แคลอรี่น้อย จึงไม่ต้องกลัวอ้วน แถมทางการแพทย์นั้นยังยืนยันว่ามังคุดเป็นอาหารเสริมที่ดีซึ่งช่วยลดความอ้วนได้ด้วยมังคุดเป็นผลไม้ที่มีเส้นใยสูง จึงเป็นประโยชน์ต่อการขับถ่ายทำให้ท้องไม่อืด และป้องกันมะเร็งลำไส้ได้ จึงนับว่าเป็นประโยชน์ต่อร่างกายอย่างมาก
      
       มังคุดมีกี่กิโลแคลอรี่
      
       ในมังคุด 100 กรัม จะมีคุณค่าทางโภชนาการ ดังนี้
      
       แคลอรี่ 60-63
       น้ำ 80.20-84.90 กรัม
       โปรตีน 0.50-0.60 กรัม
       ไขมัน 0.10-0.60 กรัม
       แคลเซียม 0.01-8.00 มิลลิกรัม
       เหล็ก 0.20-0.80 มิลลิกรัม
       กรดแอสคอร์ปิก 1.0-2.00 มิลลิกรัม
       คาร์โบไฮเดรต 14.30-15.60 กรัม
       ใยอาหาร 5.00-5.10 กรัม
       เถ้า 0.20-0.23 กรัม
       ซูโครส กลูโคส ฟรุกโตส 16.42-16.62 กรัม
       ฟอสฟอรัส 0.02-12.00 มิลลิกรัม
       ไทอามีน 0.03 มิลลิกรัม  

      
      
       เมล็ดมังคุด
      
       เมล็ดมังคุดทานได้ไหม
      
       หลายคนชอบทานมังคุดเป็นอย่างมาก พอทานแล้วเคี้ยวเพลิน ๆ ก็อยากจะเคี้ยวเมล็ดมังคุดลงไปด้วย ทั้งนี้การทานเมล็ดมังคุดนั้นไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด เพียงแต่เมล็ดมังคุดอาจมีรสฝาด ทำให้ไม่นิยมทานกันเท่าที่ควร และอาจยังทำให้ติดคอเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ ดังนั้นหลีกเลี่ยงการกลืนเมล็ดมังคุดเมล็ดใหญ่ ๆ ย่อมจะเป็นการดีกว่า
      
       ทั้งนี้ กองโภชนาการ กระทรวงสาธารณสุข ให้ข้อมูลว่า ปกติหลายคนมักจะทิ้งเปลือกและเมล็ดมังคุดไปโดยเปล่าประโยชน์ เพราะไม่ทราบประโยชน์ ซึ่งความจริงแล้วในเมล็ดมังคุดมีกรดไลโนเลอิก ที่ร่างกายต้องการและสร้างขึ้นไม่ได้ ต้องรับจากอาหารภายนอกเท่านั้น หากรับประทานมังคุดแล้วเคี้ยวเมล็ดกลืนไปด้วยจะได้รับประโยชน์จากกรดนี้
      
       นอกจากนี้ นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 323 เขียนโดย ภกญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร ให้ข้อมูลว่า บางประเทศนิยม นำเมล็ด ของมังคุด มาต้มหรือคั่วกินเป็นของว่างอีกด้วย

วันพฤหัสบดีที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ปลาหมึกเส้นเต่าทองโฮมเมด

หวัดดี... วันนี้มีลิ้งค์อีกแล้ว
Cookpad เป็นแอพค้นหาสูตรอาหารของญี่ปุ่น มี่ทำเป็นภาษาไทยแล้ว คนญี่ปุ่นใช้งานกันมาก
อันไหนเขาฮิตกันเราต้องลองใช่มั้ยคะ!!!

ก็เลยลองสูตรสแนคยุคแรกๆของเมืองไทย อยู่คู่คนไทยมานาน วันนี้ก็มาชวนทำกินกันแบบบ้านๆเนอะ.. ง่ายๆไม่ต้องใช้ฝีมืออะไรมาก ก็มีของอร่อยกินเล่นเพลินๆ

เข้าไปดูตามลิ้งค์ที่ให้ข้างล่างนี้เลยนะคะ และเช่นเคยถ้าใช้ Google แล้วเข้าไม่ได้ ..ให้ไปเข้าด้วย Firefox หรือ Chrome  เอานะคะ... รับรองได้ชัวร์!!!

นี่ค่ะลิ้งค์......ตามนี้เลย👇

ปลาหมึกเส้นเต่าทอง https://cookpad.com/th/recipes/774060-%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B6%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%87

ซาลาเปาหม่านโถวโฮลวีทมัลติเกรน

ซาลาเปาหม่านโถวโฮลวีทมัลติเกรน อาหารบำรุงสมอง High Polyphenol

ติดตามอ่านข้อมูลฉบับเต็มได้ที่ wordpress.com ...

ต้องcopy URL ด้านล่างนี้แล้วไปเปิดด้วยโปรแกรม Firefox หรือ Chrome นะคะ เพราะ Google เขาจะไม่เปิดให้เพราะต้องการให้เราใช้โปรแกรม blogger ของเขาเท่านั้นค่ะ 

https://tuksirinyapat.wordpress.com/2016/06/08/ซาลาเปาหม่านโถวโฮลวีท/?preview=true

สาเหตุที่ไม่ใช้โปรแกรมนี้เพราะ เราเขียนบทความจากมือถือค่ะ แอพbloggerในมือถือ มันไม่พัฒนาค่ะ โหลดรูปก็แฮงค์บ่อย บางทีเขียนไปข้อมูลเยอะ มันก็โหลดเผยแพร่ไม่ได้ซะงั้น ...เล่นคนเขียนปวดตับ ไอ้ครั้นจะ Capture หน้าจอ แล้วเอาภาพมาลงให้ ก็คงโพสต์เฟสบุคอย่างดีก็ได้มั้ง เพราะขึ้นชื่อว่า บล็อก ยังไงมันก็ต้องเป็นบทความที่มีภาพประกอบ

หลายคนคงสงสัยว่าทำไมใช้ Wordpress แล้วก็ไม่ต้องโพสต์ใน blogger.com ก็ได้นี่... มันใช่สำหรับความสมบูรณ์ในงานเขียนด้วยมือถือ แต่เราคำนึงถึงผู้ใช้ที่ใช้อากู๋ในการค้นหาข้อมูล เพราะเราก็เป็นแฟนอากู๋เหมือนกัน 

สิ่งหนึ่งที่สำคัญที่สุดของเจ้าของบทความคือผู้อ่าน ถ้าผู้อ่านไม่มีโอกาสเห็นบทความนั้น ...ก็ไม่มีความหมาย ... การอัพโหลดขึ้น blogger.com เป็นการช่วยเผยแพร่บทความที่ดีที่สุด  ผ่านป้ายกำกับ สำหนับโลกอินเตอร์เน็ต มันดีมากกว่าพันทิปหรือเฟสบุค ด้วย

วันศุกร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ขนมปังกะทิอบควัน

พฤหัสบดีที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2559
เวลา 23.30 น.

ขนมปังกะทิ (กะทิอบควันเทียน)

จุดเริ่มต้นมาจากโพสต์คุณยักษ์เขียว ที่ถามว่า มีขนมปังอะไรบ้างมั้ยที่ใส่กะทิ... ในเวลานั้นใจเราก็คิดถึงแต่ขนมปังที่สไตล์แบบขนมครกซึ่งมันจะมี Image ที่น่าสนใจ หน้าตาขนมตัวนี้จะเป็นยังไงนั้น ตุ๊กจะนำเสนอต่อไปคราวหน้านะคะ ( ขอถามคุณยักษ์ก่อน เพราะแกอาจเอาไปทำเป็นProduct เราจะไปออกสูตรตัดหน้าเพื่อน มันก็จะไม่งาม )
ทีนี้เมื่อคำตอบยังไม่เป็นที่โดนใจ คุณยักษ์เขียวก็เลยไปลุยGoogle ได้คำตอบก็เลยนำมาแปะลิ้งค์ไว้ให้ (ขอบคุณนะคุณยักษ์เขียว)

พอตุ๊กดูปั๊บก็เกิดความคิดว่า ถ้าเราทำขนมปังด้วยวัตถุดิบ 4  คือ แป้ง น้ำ ยีสต์ และเกลือ ก็สามารถทำขนมปังให้นุ่มเหนียวถูกปากคนไทยนี่!!!... สูตรนี้จึงมา  😁

ก่อนจะเข้าสูตร... ขอทำตามสัญญากับ.... ว่าจะสอนการวิเคราะห์สูตรขนมปัง ต้องเรียกว่า ตั้งสูตรขนมปัง น่าจะถูกต้องกว่า!! (ใครที่เป็นแล้ว ก็ผ่านตรงนี้ไปได้เลยค่ะ) แฮ่ะๆ เพราะเราก็ไม่ได้เรียนมาทางสายนี้โดยตรง ความรู้ที่จะถ่ายทอดในวันนี้ก็เป็นประยุกต์ เอาความรู้ในการตั้งสูตรยารักษาโรคทางด้านเภสัชกรรมแผนโบราณ มาประยุกต์กับการทำอาหาร และขนม คงคล้ายกับที่แดจังกึม เอาความรู้ทางอาหารไปผนวกรวมเข้ากับความรู้ทางการแพทย์... ว่าไปโน่น!!

หลักการตั้งสูตรของตุ๊ก แบ่งวัตถุดิบ เป็น 4 ประเภท ตามหลักเภสัชกรรมเรื่ององค์ประกอบของยา คือ
1. ตัวยาหลัก... ในที่นี้ คือ วัตถุดิบหลัก
2. ตัวยาประกอบ... ในที่นี้ คือ วัตถุดิบรอง
3. ตัวยาช่วย... ในที่นี้ คือ ตัวช่วย
4. ตัวยาแต่งสี กลิ่น และรส... ในที่นี้ คือ วัตถุดิบแต่งสี และกลิ่น

สรุปว่า... ไม่ว่า สูตรขนมหรืออาหารอะไรก็ตาม เราต้องจำแนกออกมาให้ได้ว่า ตัวไหนอยู่ในกลุ่มใดตาม 4 ประเภทที่ว่านี้คือ

องค์ประกอบ 4 สูตรสำเร็จขนม

1. วัตถุดิบหลัก
2. วัตถุดิบรอง/เสริม
3. ตัวช่วย
4. วัตถุดิบแต่งสี และกลิ่น รส

วัตถุดิบหลัก... ของขนมปังและเค้ก ก็คือ แป้ง (แป้งสาลี, แป้งข้าวโพด, แป้งข้าวเจ้า, แป้งมัน, แป้งลูกเดือย, แป้งมะพร้าว, แป้งถั่ว ฯ)

วัตถุดิบรอง/เสริม...ของขนมปังและเค้ก ก็คือ ไขมัน(เนย น้ำมัน), ของเหลว(น้ำ, นม, กะทิ), โปรตีน(ไข่)

ตัวช่วย.... ของขนมปังและเค้ก คือ ยีสต์, ผงฟู เบกกิ้งโซดา, แอมโมเนียเบกกิ้ง, Wild Yeast, Sourdough Starter, TangZhong, Poolish Starter, sourcream, yogurt, เกลือ ครีมออฟทาร์ทาร์

วัตถุดิบแต่งสี กลิ่น รส คือ เกลือ, น้ำตาล, พืชผัก สมุนไพร ผลไม้ต่างๆ ทั้งสดแห้ง แช่แข็ง หรือเป็นผง, สีผสมอาหาร, กลิ่นสังเคราะห์

เมื่อจำแนกเสร็จ เราก็มาดูว่า สิ่งที่เราต้องการคือ ขนมปังที่มีวัตถุดิบง่ายๆ 4 ตัวหลัก คือ แป้ง กะทิ ยีสต์ และเกลือ นั้น ทำหน้าที่ครบใน 4 องค์ประกอบสูตรสำเร็จพอดีเป๊ะ!!!
ทีนี้เราก็มาใส่รายละเอียดเพิ่มลงไปได้เลย

#กำหนดเป้าหมายที่ต้องการก่อนเสมอ
เป้าหมายที่ต้องการ :
1. ขนมปังที่มีกลิ่นกะทิชัดเจน
2. มีเอกลักษณ์ความเป็นไทย และถูกปากคนไทย คือชอบขนมปังนุ่มมากๆ
3. IMAGE... แนว Artisan Bread
4. HYDRATION สูงๆ มากกว่า 90% เพราะเคยทำที่ 90% มาแล้ว แต่ครั้งนี้อยากทดลองแบบ 100% ว่าจะทำได้มั้ย?????
5. การขึ้นรูป CIABATTA ขนมปังรองเท้าแตะ
6. ใช้แป้ง Whole Wheat
7. ปริมาณขนมปังที่ต้องการ 3 ก้อน
   ขนาด 5×8-10 นิ้ว .... 2 ก้อน
   ขนาด 8×8-10 นิ้ว..... 1 ก้อน

เริ่มล่ะนะ!!!... สูตรขนมปังกะทิอบควันเทียน

1. แป้งขนมปัง และแป้งโฮลวีท...วัตถุดิบหลัก
....ต้องการขนมปังประมาณ 3 ก้อน...
....ใช้แป้งทั้งสูตร 500 กรัม... จึงใช้

....แป้งขนมปัง 70%... (70%×500).... = 350 กรัม
....แป้งโฮลวีท 30%... (30%×500).... = 150 กรัม

2. กะทิอบควันเทียน แทน น้ำทั้งหมด เพราะเราอยากได้กลิ่นหอมมากๆ และความนุ่มของขนมปังให้ถูกปากคนไทย
HYDRATION มากกว่า90% ก็ลองที่ 100% ละกัน
ทำให้ได้ image และรูปทรงแบบ ขนมปังรองเท้า CIABATTA เป็น Artisan Bread แน่ๆ

...กะทิอบควันเทียน100% (100%×500) =500 กรัม

(ปกติแล้วปริมาณน้ำของขนมปัง CIABATTA จะใช้น้ำที่ 90% ของนน.แป้ง...คุณปู Alex K. Wilaiwan กูรูขนมปังบอกมา!!!!
***...ขอกระซิบหน่อยว่าแป้งโฮลวีทของเธอโม่สดๆจริง แถมเป็นแบบ whloe Gain ด้วย ส่งตรงถึงบ้าน... ปล.โปรดติดต่อกันเองนะคะ บอกชื่อไปแล้วเสริซหาได้ในเฟสบุคค่ะ!!!!)

*** ตรงนี้ถ้าใครไม่อยากได้ทรงขนมปังรองเท้าแตะ ก็ลดน้ำลงมาที่ 50-70% ได้นะจ้ะ
แต่เราชอบทำขนมปังแบบ High Hydration จึงชอบใช้ 70-90 % จ้า

*** แต่ยิ่งน้ำเยอะยิ่งนวดยาก จนถึงขั้นนวดไม่ได้ ซึ่งความจริงการทำขนมปังนั้น ไม่นวดก็ได้ แต่น้ำต้องถึงพอสมควร ไม่งั้นเนื้อกระด้างแข็ง ไม่ค่อยนุ่มตามแบบที่คนไทยชอบกิน

3. Sourdough Starter 25-50% ใส่มากสุกยาก
   ยีสต์ ไม่เกิน 1% เพราะมี Sourdough Starter ใส่ด้วย
   ถ้าใส่เยอะยีสต์กินแป้งเร็ว กลูเต็นจะไม่แข็งแรง...
   แต่ถ้าไม่ใส่ Sourdough Starter ก็ใช้ยีสต์ได้ถึง 3 %

    Sourdough Starter    25%×500= 125 กรัม
    ยีสต์แห้ง (แบบinstant) 1%×500= 5 กรัม

4. เกลือ... เป็นตัวช่วยควบคุมยีสต์ ไม่ให้โตเร็วเกินไป และช่วยแต่งรส
    ใช้ปริมาณไม่เกิน 1-3 %.... ในสูตรใช้

    เกลือ 3% (3%×500) =  15 กรัม

#สรุปสูตรไว้ให้อีกทีจ้า!!!!

ขนมปังกะทิ... สูตร Sourdough Starter
ส่วนผสม :

1. แป้ง :            500 กรัม (100 %)
     แป้งขนมปัง            350 กรัม (70 %)
     แป้ง Whole Wheat    150 กรัม (30 %)
2. ยีสต์                          5 กรัม (1 %)
3. หัวกะทิ                    500 กรัม (100 %)
4. เกลือ                        15 กรัม (3 %)
5. Sourdough: Mr. Bann 125 กรัม (25%)
~~~~~~~~~~@~~~~~~~@~~~~~~~~~~

ขนมปังกะทิ... สูตรธรรมดา
ส่วนผสม :

1. แป้ง :             500 กรัม (100 %)
     แป้งขนมปัง             350 กรัม (70 %)
     แป้ง Whole Wheat     150 กรัม (30 %)
2. ยีสต์                          15 กรัม (3 %)
3. หัวกะทิ                     500 กรัม (100 %)
4. เกลือ                         15 กรัม (3 %)

วิธีทำ ก็สุดแสนง่ายไม่ต้องนวด
ผสมทุกอย่างในอ่างผสม โดยการใช้ช้อนคนให้เข้ากัน อย่าให้มีแป้งหลงเหลือ.... แป้งมันจะเหลวมากๆ
เราใช้มือนวดไม่ได้ ต้องใช้ช้อนตักส่วนผสมจากรอบๆขอบอ่างโป๊ไว้ตรงกลาง ทำแบบนี้ประมาณ 3-5 นาที แล้วปิดแร๊ปวางในที่อุ่นๆ ทุกๆ 30 นาที นำออกมาคนด้วยช้อนแบบเดิมอีก.... ทำซ้ำๆแบบนี้อีก 3 ครั้ง นับช่วงการพักแต่ละรอบรวมกันแล้วได้ประมาณ 4 ชม. ก็นำไปอบได้

ขนมปังสูตรเราจะขึ้นรูปมันในแบบอื่นไม่ได้เลย เพราะปริมาณน้ำเยอะมาก

จึงต้องเตรียมถาดปูกระดาษรองอบโรยแป้งข้าวเจ้าไว้ เมื่อนับเวลาพักครบ 4 ชม.แล้ว ก็นำโดมาเทลงบนกระดาษรองอบที่เตรียมไว้ ตามขนาดที่ต้องการ แล้วโรยหน้าด้วยแป้งข้าวเจ้า พักในที่อุ่นให้ขึ้นอีกประมาณ 50 % แล้วนำเข้าอบที่ อุณหภูมิ 200 องศาเซลเซียส นาน 20-25 นาที

*** ถ้าหากอยากได้เปลือกหนาแข็ง ก็ให้โยนก้อนน้ำแข็งเข้าไปในเตาอบ และใช้แผ่นหินรองที่พื้นเตา อุ่นให้ร้อนจัดก่อนที่จะวางแผ่นรองอบลงไปบนแผ่นหิน และใช้เวลาอบนานขึ้นอีก 10-15 นาที

*** กินร้อนๆตอนออกจากเตาอร่อยมาก!!!
เวลาเสริฟก็ตัดเป็นแผ่นหนาบางตามชอบ
อุ่นด้วยเครื่องปิ้ง หรือจี่ในกระทะก็อร่อย
ทาแยมก็อร่อย กินกับคอตเต็ดชีสก็ยังได้ แต่ที่ฟินมากก็ต้องจิ้มกับสังขยา หรือกินกับกล้วยหอมเข้ากันมากๆค่ะ

ขอให้สนุกกับการทำขนมปัง และตั้งสูตรเองนะคะ !!!!