วันศุกร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2559

คริสเตียน คือ ผู้ที่ถูกเรียก

"การเชื่อฟังของพวกท่านก็เลื่องลือไปถึงหูทุกคนแล้ว ข้าพเจ้าจึงมีความยินดีเพราะท่าน ข้าพเจ้าอยากให้ท่านเชี่ยวชาญในการดี และทึ่มในการชั่ว"
(รม.16:19)

คริสเตียน คือ ผู้ที่ถูกเรียกออกมาให้อยู่ในองค์พระเยซูคริสต์ เพื่อชีวิตเก่าจะถูกรื้อถอนทิ้ง เพื่อจะรับการปลูกสร้างใหม่ ให้เป็นเหมือนพระคริสต์ที่มากยิ่งขึ้น (2คร.5:17)

ดังนั้น เราจึงมิได้ถูกเรียกมาเพื่อจะเป็น 'คนดี' แต่เราถูกเรียกมาเพื่อจะ 'ทำดี' และแม้จะทำดีอยู่แล้ว ก็ยังต้องทำดีให้ 'มากๆ' กว่าเดิม (1ทธ.6:18)

เราอาจจะไม่ใช่คนที่ 'ดีพร้อม' แต่เมื่อพระคริสต์อยู่ในเรา เราจึง 'พร้อมจะทำดี' มิใช่เพื่ออวด หรือเพื่อหวังผล แต่เพื่อจะถวายพระเกียรติ มิใช่เพื่อให้คนอื่นๆสรรสริญเรา แต่เพื่อให้ทุกคนเห็นพระคริสต์ในชีวิตเรา (2คร.11:31)

อย่าพยายามจะเป็นคนดี ... มากกว่าจะทำดี ไม่มีใครจะเป็นดีที่ไม่มีข้อบกพร่อง ... เราอ่อนแอเสมอ ที่จะทำสิ่งไม่ดี (รม.8:18-20) แต่เราก็ชื่นใจเพราะพระคริสต์ทรงเป็นดั่ง 'ทนาย' แก้ต่างให้เราต่อหน้าพระพักตร์พระบิดา และโดยความรักที่ยิ่งใหญ่เราจึงได้รับการอภัยจากทุกความบาป (สดด.103:3)

ฉะนั้น อย่ามองหาคนดีพร้อม เพราะไม่มีวันจะหาเจอ ... หรือหากคิดว่าเราเจอคนที่ดีสมบูรณ์แล้วอย่าเข้าไปใกล้เขาเชียวนะ เดี๋ยวจะทำให้เขาเป็นคนไม่ดีไป

อย่ามองใครว่าดี หรือไม่ดี จงมองตัวเองแล้วแก้ไข โดยพึ่งพาพระวิญญาณฯ และแสวงหาน้ำพระทัยผ่านพระวจนะ

สุดท้าย ... เราจะรู้ว่า พระเจ้าไม่ได้มองหา 'คนดี' แต่ทรงมองหา 'คนบาป' ที่พร้อมจะกลับใจ (มธ.9:13) และพระเจ้าไม่อยากอยู่กับคนดีนานๆมากกว่าจะอยู่ใกล้ๆคนที่รู้พระทัยพระองค์ (รม.12:2)

แม้วันนี้ ... เราอาจจะดีไม่พอ แต่ก็อย่าหยุดที่จะทำดี จงเป็นคริสเตียนลูกที่รู้พระทัยพระเจ้าให้มากกว่าจะพยายามเป็นคนดีแต่ไม่คิดจะทำดี ... คนดีย่อมเอาสิ่งดีออกมาจากคลังแห่งความดีในใจตน (มธ.12:35, 15:18-19) คือ การคิดดี พูดดี ทำดี ให้อภัยผู้อื่น พร้อมจะรับใช้ด้วยความถ่อมใจ และมีความรักอยู่เสมอ แบ่งปันตลอดเวลาด้วย และจะไม่เมื่อยล้าในการทำดีด้วย (กท.6:10)

ให้การเชื่อฟังของเราเลื่องลือไป ... และให้เชี่ยวชาญในการทำดี และเป็นทึ่มในการชั่ว เพื่อคนอื่นๆจะเห็นพระคริสต์ในชีวิตเรา ... "ไม่ช้าพระเจ้าแห่งสันติสุขจะทรงปราบซาตานให้ยับเยินลงใต้ฝ่าเท้าของพวกท่าน ขอพระคุณของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา จงอยู่กับท่านเถิด" (รม.16:19-20)

Ps.เนตรศักดิ์ ใสรังกา

วันพฤหัสบดีที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2559

เมื่อพระเจ้าทรงเรียก พระองค์ทรงรู้ว่าจะนำเราไปอย่างไร?

"...นี่เป็นพระวจนะของพระยาห์เวห์ที่ให้ไว้กับเศรุบบาเบลว่า ไม่ใช่ด้วยกำลัง ไม่ใช่ด้วยฤทธานุภาพ แต่ด้วยวิญญาณของเรา ... โอ ภูเขาใหญ่ เจ้าเป็นอะไรเล่า? ต่อหน้าเศรุบบาเบล เจ้าจะเป็นที่ราบ ... มือของเศรุบบาเบลได้วางรากฐานของพระนิเวศนี้ และมือของเขาจะสร้างให้สำเร็จ ... ใครจะดูหมิ่นวันแห่งการเล็กน้อย? ..."
(ศคย.4:6-7,9-10)

เมื่อพระเจ้าทรงเรียก พระองค์ทรงรู้ว่าจะนำเราไปอย่างไร? ทรงสัญญาว่าจะนำเราไปถึงเป้าหมายอย่างสวัสดิภาพแน่นอน แต่ไม่ได้สัญญาว่าระหว่างทางจะไม่เกิดปัญหาใดๆ!

ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เราจะไปอย่างไร? แต่อยู่ที่เราจะทำอย่างไรในสิ่งที่เกิดขึ้นในระหว่างทางที่เรากำลังไปต่างหากละ

แต่ไม่ว่าจะเผชิญสิ่งใดในระหว่างทางนี้ ... เราก็ชื่นใจได้ว่า เราจะฟันฝ่าทุกเรื่องไปได้โดยกำลังจากพระเจ้า ... และเราจะรู้ว่า 'พระองค์ทรงเป็นพระหัตถ์ที่มองไม่เห็นที่คอยอุปถัมภ์ ช่วยเหลือ ช่วยกู้เราเสมอ ... ทรงเป็นองค์อิมมานูเอล พระเจ้าทรงสถิตกับเราตลอดเวลา" ... เราจึงวางใจอย่างปราศจากความกลัว (สดด.91:14-16, มธ.1:23)

ไม่ว่าอุปสรรคนั้นจะ ...;
- เป็นดั่ง 'เม็ดทราย' แม้อาจจะมีมากมายแต่เม็ดทรายก็เล็กนิดเดียว [แต่อาจจะทำให้รำคาญบ้าง]

- เป็นดั่ง 'ก้อนหิน' อาจจะเผลอเดินเตะบ้าง ทำให้เจ็บ แต่เท้าเราก็ยังไม่ขาด สามารถจะเดินต่อไปได้ [อาจจะเสียเวลาบ้างที่จะรักษา ... แต่เพื่อเราจะระวังมากขึ้น] (ฮบก.3:19)

- เป็นดั่ง 'ภูเขาใหญ่' เราอาจจะผลักหรือทำไรไม่ได้ แต่โดยพระเจ้าทรงประทานสติปัญญาจะทรงประทานหนทางให้เราปีนข้ามไปได้แน่นอน [พระเจ้าไม่ได้ประทานแค่สติปัญญา แต่ยังทรงเตรียมทางให้เราไปต่อด้วย] (สดด.18:29)

โดยพระเจ้า ... ในสิ่งยากที่เราเผชิญ อาจจะเกินกำลังของเรา แต่ไม่มีอะไรเกินกำลังพระเจ้า (มก.10:27) ... เพื่อเราจะกลับใจใหม่ เลิกคิดว่า 'ตัวเองแน่, เจ๋ง และเก่ง' เลิกวางใจในกำลังและความสามารถของตนเอง และหันมาพึ่งพระเจ้า (สภษ.3:7)

มนุษย์ไม่สามารถสร้าง 'ปาฏิหารย์' ได้ แต่พระเจ้าเท่านั้นที่ทำได้ ... และพระองค์พร้อมแล้วที่จะทำในชีวิตเรา เพียงแต่เราเริ่มที่จะหันกลับจากการพึ่งตัวเองมาวางใจพึ่งพระเจ้า

เพราะพระเจ้าทรงสัตย์ซื่อ และพระองค์จะทรงทำให้สำเร็จ (1ธส.5:24)

และเมื่อพระเจ้าทรงทำปาฏิหารย์ ... เราจะหัวเราะได้เต็มที่ (สดด.126:2) และแน่นอนเสียงร้องไห้มักมาก่อนเสียงชื่นชมยินดีเสมอ ... หากวันนี้ กำลังร้องไห้อยู่ จงชื่นใจเถิดอีกไม่นานเราก็จะหัวเราะ โดยพระเจ้าจะทรงทำปาฏิหารย์ที่คาดไม่ถึงให้เกิดขึ้นในชีวิตเรา เพื่อเราจะขอบพระคุณและเป็นพระพรแก่ผู้อื่นต่อไป (สดด.126:5-6)

แม้เราอาจจะมองไม่เห็นพระเจ้าในเวลาทุกข์ใจ ก็อย่าด่วนสรุปว่าพระองค์ไม่สถิต ณ ที่นั่น อย่าลืมพระองค์ทรงเฝ้าดูชีวิตเราเสมอ ไม่เคยเคลิ้ม ไม่เคยหลับทรงเป็นความอุปถัมภ์ของเราเสมอ (สดด.121:1-8)

แต่บางทีอาจทรงถอยห่างจากเราบ้าง ก็เพื่อจะรู้ว่า 'ใจเราข้างในจะอย่างไรกับพระองค์' (2พศด.32:31) ... จะยังคงวางใจอยู่ไหม?

เชื่อสิ ... หากเราไม่จมน้ำบ้าง เราจะไม่มีประสบการณ์ในการช่วยกู้จากพระเจ้า ... แต่ถึงอย่างไร พระองค์ไม่ทรงปล่อยเราให้เผชิญสิ่งใดเพียงลำพังแน่ๆ (ฉธบ.31:6)

เมื่อเราจะจม [ในทะเลปัญหา] ... พระหัตถ์พระเจ้ามิได้สั้นที่จะฉุดเราขึ้นมาไม่ได้ วางใจ พระเจ้าเฝ้ามองดูเราอยู่เสมอ ... เรารอดแน่ เพราะพระองค์ทรงเป็น "องค์พระผู้ช่วยให้รอดของเรา" เสมอ (กดว.11:23, อสย.59:1)

เอเมน
Ps.เนตรศักดิ์ ใสรังกา

วันอังคารที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2559

สิ่งที่ทำให้คริสเตียนเป็นลูกพระเจ้าอย่างแท้จริง

สิ่งที่ทำให้คริสเตียนเป็นลูกพระเจ้าอย่างแท้จริง คือ 

- การอธิษฐาน เพราะหากว่าเราไม่อธิษฐานก็คงจะไม่ต่างอะไรกับแค่คนมานับคือศาสนาเท่านั้น
"เพราะฉะนั้น ขอให้ผู้จงรักภักดีทุกคนอธิษฐานต่อพระองค์ ในเวลาที่จะพบพระองค์ ในเวลาน้ำท่วมมาก น้ำจะไม่มาถึงคนนั้น" (สดด.32:6)

- ใส่ใจในพระวจนะ หากเราเชื่อพระเจ้าว่าทรงฤทธานุภาพและทรงเป็นความจริง แล้วเราเคยอ่านพระคัมภีร์ตั้งแต่หน้าแรกจนถึงหน้าสุดท้ายหรือยัง? และเวลาเราไปนมัสการที่คริสตจักร และในกลุ่มเซลนั้น เราตั้งใจจดจ่อในการฟังถ้อยคำของพระเจ้าผ่านปากผู้รับใช้ หรือเอาแต่จะคุยเรื่องของเรา กับเรื่องของคนอื่นๆมากกว่ากันละ? อย่าทำให้การประชุมของเราเป็นมลทิน โดยการทำให้เป็นนินทาสโมสร แต่จงทำให้เป็นการประชุมบริสุทธิ์ด้วยการสรรเสริญ ยกย่องพระเจ้าให้มาก (สดด.1:2)

- รักพระนิเวศน์ของพระเจ้า ทุกวันนี้...ปากเราบอกว่ารักพระเจ้า แล้วเราปล่อยปละละเลยพระนิเวศน์ของพระเจ้าอย่างไรบ้าง? เราสาละวนแต่สิ่งที่เราอยากจะทำมากจนบางที...พระนิเวศน์ก็เป็นสถานที่ๆรอให้เรา "ว่าง" ก่อนค่อยมาหรือป่าว?
"นี่เป็นเวลาที่พวกเจ้าเองอาศัยอยู่ในบ้านที่มีไม้บุ แต่พระนิเวศน์นี้ถูกทิ้งให้พังทลายหรือ?" (ฮกก.1:4)

- รัก "คน" หากปากที่บอกว่ารักพระเจ้าก็ต้องแสดงออกผ่านการกระทำ ด้วยการรักคนรอบข้างด้วย (มธ.22:39) และรักทุกๆคน แม้จะไม่ชอบบางคนที่มีพฤติกรรมที่ไม่ดีก็ตาม เพราะสิ่งที่ทำให้คนของพระเจ้าแตกต่างจากคนอื่นๆคือ เขามีความรัก และพร้อมจะแบ่งปันความรักให้คนอื่นๆผ่านการทำดีในทุกๆวัน วันนี้...เราได้ทำดีเพื่อช่วยเหลือใครบ้าง? ปากเราใช้หนุนใจหรือวิจารณ์คนอื่นมากกว่ากัน? มือของเราคอยพยุงคนอื่นที่กำลังจะล้มหรือชี้หน้าด่าคนอื่นมากกว่ากัน? (รม.12:9-10, 13:9-10)

- รัก "ผู้รับใช้" ผู้รับใช้ คือ "ของขวัญ" จากพระเจ้า มิใช่ "ของชำรวย" ที่เอาเก็บไว้ตั้งโชว์เท่านั้น เมื่อท่านเป็นของขวัญ ต้องเป็นของขวัญที่ใช้การได้ บางที...อาจจะทำให้เราเจ็บเพราะบางคำพูดหรือบางพฤติกรรมของท่านเหล่านั้น ก็จง...อดทน และเข้าใจว่า ผู้รับใช้ก็เป็นคนเหมือนกันกับเรา อ่อนแอ และบางทีอาจจะพ่ายแพ้ต่อการทดลองใจได้ เช่น อาดัม, อับราฮัม, ดาวิด, เปโตร หรือเปาโล หรืออีกใครอีกละ...!

ฉะนั้นจงรักและอธิษฐานเพื่อผู้รับใช้ที่ทำงานอยู่ท่ามกลางเรา (1ธส.5:12-13) ดูแลเขาให้ดีๆ คิดไว้ว่ามีผู้รับใช้อยู่กับเราย่อมดีกว่าไม่มีเลย ว่าไหม...ครับ? อย่าลืม...ทบทวนถึงสิ่งดีๆที่ท่านเหล่านั้นได้มอบให้กับเรา มากกว่าจะเอาแต่คิดถึงแต่สิ่งไม่ดีต่างๆที่เขาทำ(ฮบ.13:17)

ค่ำคืนนี้ ... ขอพระเจ้าอวยพรทุกๆท่านครับ หลับฝันดีในอ้อมพระหัตถ์พระเจ้านะครับ

Ps.เนตรศักดิ์ ใสรังกา

"บางเรื่องที่ไม่รู้จะพูดอะไรกับใคร ... สรรเสริญพระเจ้า รู้ไหม พระองค์ทรงคอยฟังอยู่"

"บางเรื่องที่ไม่รู้จะพูดอะไรกับใคร ... สรรเสริญพระเจ้า รู้ไหม พระองค์ทรงคอยฟังอยู่"

"พระองค์ทรงพบเขาในแผ่นดินทุรกันดารในที่ร้างเปล่าวังเวง พระองค์ทรงโอบล้อมเขา และทรงดูแลเขา ทรงรักษาเขาไว้ดังแก้วพระเนตรของพระองค์" (ฉธบ.32:10)

Wowww...! สรรเสริญพระเจ้า ... เราเป็นดังแก้วพระเนตรที่รักยิ่งของพระเจ้าเสมอ ... สุดยอด!

"พระยาห์เวห์ทรงปรากฏแก่เขาจากที่ไกล ตรัสว่า 'เราได้รักเจ้าด้วยความรักนิรันดร์ เพราะฉะนั้น เราจึงนำเจ้ามาด้วยความรักมั่นคง'" (ยรม.31:3)

แม้ว่าในวันนี้ เราอาจจะเจอเรื่องทุกข์ใจหลายเรื่อง ยากที่พูดคำใดๆออกมา บางสิ่งบางอย่างรอบตัวเราอาจจะไม่เหมือนเดิม หรือแม้แต่บางคนอาจจะเปลี่ยนไป แต่ไม่ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้น ... พระเจ้าไม่เคยลืมเราเลย
"ผู้หญิงจะลืมบุตรของนางที่ยังกินนมอยู่ และไม่สงสารบุตรจากครรภ์ของนางได้หรือ? และถึงแม้คนเหล่านี้จะลืมได้ แต่เราจะไม่ลืมเจ้า" (อสย.49:15)

เห็นไหม...แม้ใครบางคนอาจจะลืมเรา หรือมองข้ามหัวเราไปข้ามหัวเรามา แต่พระเจ้าไม่เคยลืมเรา และ "ดูสิ...เราได้สลักเจ้าไว้บนฝ่ามือของเรา กำแพงเมืองของเจ้าอยู่ต่อหน้าเราเสมอ" (อสย.49:16)

ไม่มีใครในโลกนี้...จะรักเราเท่านี้อีกแล้ว เพราะ "ความรักของคนจำนวนมากจะเยือกเย็นลงเพราะความอธรรมแผ่กว้างออกไป" (มธ.24:12) แต่สำหรับพระเจ้าแล้ว "โอ เอฟราอิมเอ๋ย [ตัวเราเอง] เรา [พระเจ้า] จะให้เจ้าแก่ผู้อื่นได้อย่างไร? โอ อิสราเอลเอ๋ย [ตัวเราเอง] เราจะมอบเจ้าแก่ผู้อื่นได้อย่างไร? {ทรงหวงแหนเรามาก} ... จิตใจของเราปั่นป่วนอยู่ภายใน ความเอ็นดูของเราก็คุกรุ่นขึ้น" (อมส.11:8)

หลายๆครั้ง...เราห่างไกลจากการไว้วางใจในพระเจ้า เพราะเราเอาแต่ฝากความหวังไว้ที่มนุษย์ อย่าลืม...สิ มนุษย์ทุกคนถูกสร้างมาบนความจำกัด (สดด.146:3-4) วันนี้...เขาอาจจะช่วยเหลือเราได้ แต่พรุ่งนี้เขาอาจไม่สามารถจะช่วยเราได้ "เข้าลี้ภัยในพระยาห์เวห์ ก็ดีกว่าวางใจในมนุษย์" (สดด.118:8)
คำว่า "การเข้าลี้ภัยในพระเจ้า" หมายถึง การมอบทั้งชีวิตไว้ในพระหัตถ์พระเจ้า
"ข้าพระองค์มอบจิตวิญญาณของข้าพระองค์ไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์ ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งความจริง พระองค์ทรงไถ่ข้าพระองค์แล้ว" (สดด.31:5)

นั้นคือ การแสวงหาให้พระเจ้าทรงครอบครองชีวิตของเรา มิใช่เพียงแค่การให้อยู่ด้วยเท่านั้น แต่หมายถึง ให้พระเจ้าทรงเป็นเจ้านายเจ้าชีวิตของเราทั้งหมดตลอด 24 ชั่วโมงใน 1 วัน ตลอด 7 วันใน 1 สัปดาห์ และตลอด 365 วันใน 1 ปี มิใช่แต่เฉพาะวันอาทิตย์เท่านั้น (มธ.6:33) เราเป็นลูกพระเจ้าเราต้องเป็นทุกๆวัน ไม่ใช่เฉพาะเวลาที่อยู่ในกลุ่มคริสเตียนเท่านั้นที่จะเป็นลูกของพระองค์!

Ps.เนตรศักดิ์ ใสรังกา

พระเจ้าทรงประทานให้เราทุกคนมีอดีต ... ไว้เพื่อจดจำเป็นบทเรียน มิใช่มีไว้เพื่อให้คอยตอกย้ำเพื่อความเจ็บปวด

พระเจ้าทรงประทานให้เราทุกคนมีอดีต  ... ไว้เพื่อจดจำเป็นบทเรียน มิใช่มีไว้เพื่อให้คอยตอกย้ำเพื่อความเจ็บปวด

"เพราะเรารู้ว่าการละเมิดของเจ้ามีเพียงไร และบาปของเจ้ามีมากมายสักเท่าใด ... เพราะฉะนั้น คนที่มีปัญญาจะไม่พูดอะไร ในเวลาเช่นนั้น เพราะเป็นเวลาชั่วร้าย เจ้าทั้งหลายจงแสวงหาความดี อย่าแสวงหาความชั่ว เพื่อเจ้าจะดำรงชีวิตอยู่ได้ พระยาห์เวห์พระเจ้าจอมทัพจะสถิตกับเจ้า ดังที่เจ้ากล่าวอ้าง"
(อาโมส 5:12-14)

อดีตไม่เคยทำร้ายใคร ... แต่ที่เราเจ็บปวดนั้น เพราะเราเองเลือกที่จะกำความเจ็บปวดเอาไว้ ไม่ยอมจะลืมมัน กลับคิดซ้ำไปซ้ำมา ไม่ยอมยกโทษ ไม่ยอมจะให้อภัย ... เรากำความเจ็บปวดไว้ด้วยความแค้น

อดีต ก็คือ อดีต เปลี่ยนแปลงไม่ได้...!

อย่าพยายามจะปกปิดอดีต ... แต่จงเรียนรู้ที่จะใช้อดีตเพื่อเป็นพระพร เพื่อจะเป็นบทเรียนชีวิต อดีตไม่เคยทำร้ายใคร หากเราใช้มันให้เป็น!

พระเจ้าทรงรู้ทุกสิ่ง ... และเราทุกคนล้วนเป็นบาป
คริสเตียนเป็นชุมชนสำหรับ "คนบาป" ที่รู้ตัว และต้องการจะกลับใจใหม่ ... และพร้อมจะเริ่มต้นใหม่!

จงกลับใจ และอย่าพูดมาก...!
ระวัง ... อย่ามัวไปจดจ่อที่ความผิดของคนอื่นๆ
เมื่อเรา "โกรธพี่น้องของตน คนนั้นจะต้องถูกพิพากษา ถ้าใครพูดกับพี่น้องอย่างเหยียดหยาม คนนั้นจะต้องถูกนำไปยังศาลสูงให้พิพากษา และถ้าใครพูดว่า 'อ้ายโฉด' คนนั้นจะมีโทษถึงไฟนรก" (มธ.5:22)

พระเจ้านำเราให้กลับมาเป็นลูกพระองค์นั้นไม่ใช่เพื่อรักษาโรคบาป แต่เพื่อจะเป็นคนที่จะเคียงข้างคนบาป และยอมให้พระเจ้าทำการผ่านเรากับคนบาปที่อยู่ข้างๆตัวเรา เพื่อเขาจะพบพระเจ้าผ่านเรา เช่นที่เราจะพบพระองค์ผ่านคนบาปที่กลับใจคนนั้นเช่นกัน!

เราไม่เห็นด้วยกับพฤติกรรมบาป แต่จงรักคนบาป ... เพราะพระเจ้ากำลังทรงทำกิจของพระองค์กับเขาอยู่!

พระเจ้าสั่งให้เราละทิ้งความบาป มิใช่ให้เราปฏิเสธละทิ้งคนบาป! แต่ให้คงความรัก และพยายามช่วยให้เขาได้กลับใจใหม่ และให้จิตวิญญาณเขาให้รอดจากความตาย เพราะนั้นจะเป็นการกำจัดความบาปเสียมากมาย (กท.6:1, ยก.5:20)

จงอดทนเถิด ... ชีวิตก็เหมือนหนังสือเล่มหนึ่ง กว่าเราจะอ่านจบเรายังต้องอดทน แต่ผลลัพธ์ที่ได้มันคุ้มค่าจริงๆ ...!

จงปฏิเสธความบาป ... แต่อย่าปฏิเสธคนบาป
อย่าทิ้งใครสักคนที่ทำผิดกับเราไว้กลางทาง เพราะเราไม่ใช่ 'โปเตโต้' แต่เราคือลูกของพระเจ้า ... เพื่อเขาจะมีโอกาสที่จะแก้ไขความผิดพลาดนั้นกับเราอีก

ผิดที่ไหน แก้ที่นั้น
ผิดที่เรา ... ก็ให้เขาแก้ไขที่เรา
ไม่ว่าเราจะเริ่มต้นอย่างไร และระหว่างทางจะเป็นเช่นไร แต่ปลายทางก็เพื่อ "มิตรภาพ" ที่แท้จริง และโดยความรักของพระเจ้าจะผูกพันเราไว้ถึงซึ่งความสมบูรณ์ (คส.3:14)

ฉะนั้น ... จงยกโทษ จงให้อภัย เพื่อเราจะได้เป็นเหมือนพระคริสต์ให้มากที่สุด (ยน.20:23, คส.3:13)

"ขณะนั้นเปโตรมาทูลพระองค์ว่า 'องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ควรยกโทษให้พี่น้องที่ทำผิดต่อข้าพระองค์สักกี่ครั้ง? ถึงเจ็ดครั้งเชียวหรือ?' พระเยซูตรัสตอบเขาว่า 'เราไม่ได้บอกท่านว่าเจ็ดครั้งแต่เจ็ดสิบคูณเจ็ด'" (มธ.18:21-22)

ไม่มีคำว่า 'มากไป' สำหรับคำว่า 'ให้อภัย'
แต่โดยพระคริสต์มีแต่คำว่า เพราะรักที่ 'มากพอ' พอที่จะเริ่มต้นใหม่ที่จะรักอีกครั้งกับคนๆนี้ที่ทำให้เราเสียใจในวันนี้ ... เพราะคำว่า 'รัก' เป็นเหตุผลเดียวที่พร้อมจะ 'อดทนนาน' และรอคอยที่จะ 'กระทำคุณให้' อย่างพระเยซูทรงรักคนบาปอย่างเรา ...!

ยากนะที่จะทำได้ ... แต่โดยกำลังจากพระเจ้า เราเชื่อและยอมจำนน เราก็จะสามารถทำได้ทุกสิ่ง (ฟป.4:13)

Ps.เนตรศักดิ์ ใสรังกา

ทำอย่างไรพระเจ้าจะทรงทอดทิ้งเรา

การทำอย่างไรพระเจ้าจะทรงทอดทิ้งเรา...?!

"การเดินกับพระเจ้านั้นเป็นเรื่องที่ยาก แต่การทำให้พระเจ้าทอดทิ้งเราเป็นเรื่องที่ยากกว่า และไม่มีวันที่จะเป็นไปได้เลย"
ในพระคัมภีร์ 31,098 ข้อ
- มี 365 ข้อที่บอกว่า "อย่ากลัวเลย...เพราะพระเจ้าทรงอยู่ด้วย"
- มีมากกว่า 70 ครั้งที่บอกว่า "สันติสุขของพระเจ้าอยู่กับเรา"
และ - ยังมีพระสัญญาของพระเจ้าอีก 37,000 ข้อในพระคัมภีร์ที่ยืนยันว่า...เราไม่ได้โดดเดี่ยว
แต่เราสามารถเผชิญสิ่งสารพัดได้โดยพระองค์คอยเสริมกำลังเราเสมอ

"...เพื่อความเชื่อของคนที่พระเจ้าทรงเลือก และความรู้ในความจริงตามทางพระเจ้า ซึ่งอยู่บนความหวังของชีวิตนิรันดร์ ที่พระเจ้าผู้ไม่ตรัสมุสาทรงสัญญาไว้ตั้งแต่ก่อนเริ่มต้นของกาลเวลา" (ทต.1:1-2)

พระเจ้าของเราไม่ใช่พระเจ้าที่อะไรก็ได้ แต่ทรงเป็นพระเจ้าที่มีจุดมุ่งหมาย และเป้าหมายที่ชัดเจน ทรงสัตย์ซื่อในทุกทาง เครดิตของพระองค์ไม่เคยเสีย ... ฉะนั้น จงตอบสนองเช่นบุคคลในพระคัมภีร์ที่ว่า "จงหวังใจในพระเจ้าเสมอ" ในคราววิกฤต...เราจะปลอดภัย และสุขสงบอย่างอัศจรรย์ (สดด.112:6-8)

อาจจะทรมานที่จะต้องอดทนรอคอยอย่างเดียวโดยไม่ทำอะไร แต่เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นในชีวิต นั่นแสดงว่าพระเจ้ากำลังทรงนำเราเข้าใกล้ความอัศจรรย์มากขึ้นแล้ว ยิ่งขณะนี้...เรากำลังเหมือนถูกโจมตีจากรอบด้าน จงชื่นใจเถิด เพราะเรากำลังจะเข้าใกล้พระคุณของพระเจ้าทุกทีแล้ว อย่าละสายตาจากพระพักตร์พระเจ้า เหมือนเปโตรไม่เช่นนั้นพายุปัญหาจะทำให้เกิดความกลัว...แล้วเราจะจมลงในความระทมทุกข์

ความบาปที่น่ากลัวไม่ใช่การฆ่าคน หรือการล่วงประเวณี หรือการอะไรๆที่ผิดศีลธรรม แต่บาปที่น่ากลัวที่สุด คือ การไม่ไว้วางใจ
"แต่ถ้าไม่มีความเชื่อแล้วจะไม่เป็นที่พอพระทัยเลย เพราะว่าผู้ที่จะมาเฝ้าพระเจ้านั้น ต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงดำรงพระชนม์อยู่ และพระองค์ทรงเป็นผู้ประทานบำเหน็จแก่คนเหล่านั้นที่แสวงหาพระองค์" (ฮบ.11:6)

การไม่ไว้วางใจในพระเจ้า คือความสงสัย เป็นจุดเริ่มต้นที่จะนำเราออกห่างไกลจากการเชื่อฟังพระเจ้า เพื่อไปทำในสิ่งที่ตัวเองพอใจอยากจะทำ เหมือนเช่น เอวาในสวนเอเดน (ปฐก.3:1-7)
ซาตานทำร้ายแตะต้องเราไม่ได้ตราบใดที่เราวางใจในพระเจ้า ฉะนั้นมันจึงพยายามทำให้เราเลิกวางใจพระเจ้าได้ ... และการไม่ไว้วางใจในพระเจ้าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้กับทุกๆคน การไม่ไว้วางใจพระเจ้าจะทำให้เราจมลึกดิ่งลงสู่ทะเลแห่งความกลัว แล้วเราจะเป็นคนรุกรี้รุกรนเพื่อความอยู่รอด จนสามารถทำในสิ่งที่ไม่ควรจะทำได้...ความไม่ไว้วางใจ คือสิ่งที่ซาตานชอบที่สุด แต่พระเจ้าเกลียดที่สุด...!

ฉะนั้น...จงเข้มแข็งและกล้าหาญ พร้อมเสมอจะเผชิญทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ... เพราะพระเจ้าทรงสถิตกับเราเสมอ และจงสงบใจ ต่อสู้กับมารแล้วมันจะหนีจากเราไป (ยชว.1:9, 1ปต.5:8-9) ... อย่าต่อสู้ด้วยความรู้ในพระคัมภีร์เท่านั้น แต่จงต่อสู้ด้วยชีวิตที่ยำเกรงพระเจ้า ถ่อมใจลงไว้ในพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์และพระองค์จะทรงยกชูเราขึ้นเอง เมื่อถึงเวลาอันสมควรของพระองค์ (ยก.4:10) เพราะพระหัตถ์ของพระเจ้าไม่สั้นที่จะช่วยกู้เราไม่ได้ และพระกรรณของพระองค์ไม่ตึงที่จะไม่ได้ยินเสียงทุกคำวิงวอนของเรา (อสย.59:1) .... แต่การไม่ไว้วางใจในพระเจ้านั้นละที่ขวางกั้นพระเจ้าจากเรา!

จงขอบพระคุณ และจงอดทน เชื่อสิ พระคริสต์ทรงเป็นพระเจ้าและทรงสามารถทำสิ่งสารพัดได้แน่ๆ (ลก.1:37)
เมื่อตัดสินจะรับเชื่อพระเจ้าแล้ว ก็จงเชื่อมั่นวางใจว่าพระเจ้าจะทรงนำเราไปสู่เป้าหมายได้แน่นอน

และแม้วันนี้เราอาจจะหวั่นไหวไม่วางใจในพระเจ้า แต่เราก็ไม่เคยถูกละสายตาจากพระเจ้าเลย ทรงเฝ้ามองดูเราด้วยความรักเสมอ (สดด.32:9) ฉะนั้น หากวันนี้เราได้ทำสิ่งใดผิดพลาด ก็อย่าคิดว่า...พระเจ้าจะรังเกียจไม่รักเราแล้ว ไม่เลย พระเจ้าทรงรังเกียจเฉพาะความบาปที่เราทำ แต่ไม่เคยจะหมดรักในตัวของเราเลยจริงๆ

"พระยาห์เวห์ทรงปรากฏแก่เขาจากที่ไกล ตรัสว่า เราได้รักเจ้าด้วยความรักนิรันดร์ เพราะฉะนั้น เราจึงนำเจ้ามาด้วยความรักมั่นคง" (ยรม.31:3)

เอเมน...ขอบพระคุณพระเจ้า
Ps.เนตรศักดิ์  ใสรังกา

วันอังคารที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2559

สรรเสริญพระเจ้าที่มีฤดูกาล และวาระสำหรับทุกสิ่ง

สรรเสริญพระเจ้า "มีฤดูกาลสำหรับทุกสิ่ง มีวาระสำหรับเรื่องราวทุกอย่างภายใต้ฟ้าสวรรค์" (ปญจ.3:1) แต่ไม่ว่าจะวาระใด จะสุขหรือว่าจะทุกข์ก็ตาม เตือนตัวเองไว้เสมอว่า "อย่ากลัวเลย เพราะพระเจ้าอยู่ด้วยเสมอ" ดั่งพระสัญญาว่า "...นี่แน่ะ เรา[พระเยซูคริสต์] จะอยู่กับท่านทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุคนี้" (มธ.28:20ข.) และทรงอยู่เพื่อ "...แต่พระองค์ผู้ทรงบังเกิดจากพระเจ้าทรงคุ้มครองรักษาเขา และมารร้ายไม่แตะต้องเขา" (1ยน.5:18ข.) เราจึงไม่กังวลหรือกลัวสิ่งใดๆ และเราจะวางใจ "พระองค์ทรงเป็นที่กำบังของข้าพระองค์ พระองค์ทรงปกป้องข้าพระองค์จากความยากลำบาก พระองค์ทรงล้อมข้าพระองค์ไว้ด้วยเพลงฉลองการช่วยกู้ เรา[พระเจ้า] จะแนะนำและสอนเจ้าถึงทางที่เจ้าควรจะเดินไป เราจะให้คำปรึกษาแก่เจ้าและเฝ้าดูเจ้าอยู่" (สดด.32:7-8) อุ่นใจ ... เพราะรู้ แม้เส้นทางจะอันตราย พระเจ้าทรงอยู่ด้วยเสมอ (สดด.23:4) อิ่มใจ ... เพราะรู้ แผนงานของพระเจ้านั้นเพื่อทำให้เจริญรุ่งเรืองขึ้นไม่ใช่เพื่อทำร้ายเรา และให้อนาคตที่เต็มไปด้วยความหวังใจ (ยรม.29:11) ทรงห่วงใยเราดั่งแก้วพระเนตร เราจึงละทุกความกังวลไว้ที่พระองค์ เพราะทรงรู้ทุกสิ่งที่เราต้องการ ทรงคุ้นเคย รู้จักชื่อและนามสกุลของเราดี และทุกๆวันของเราก็อยู่ต่อหน้าพระพักตร์พระองค์เสมอ (ฉธบ.32:20, มธ.6:32, 1ปต.5:7, สดด.139:1-6) สิ่งที่เราควรทำในท่ามกลางสถานการณ์ที่คาดไม่ถึง คือ 'วางใจ' และ "...จงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงนี้ให้" (มธ.6:33) ... ให้พระเจ้าเป็นที่ลี้ภัยและเป็นที่พักพิงของเรา แล้ว "ไม่มีเหตุร้ายใดๆ จะเกิดแก่ท่าน ไม่มีภัยพิบัติมาใกล้เต้นท์ของท่าน" (สดด.91:9-10) และที่ใดละ ... ที่จะปลอดภัยที่สุด ก็คือที่ๆพระเจ้าสถิตอยู่ และที่ๆพระเจ้าสถิตอยู่ ณ ที่ใด คือ ที่ๆ เราอธิษฐานและแสวงหาพระองค์ด้วยสุดใจ เราจะพบพระองค์ ณ ที่นั่น ... และเราจะได้ยินพระสุรเสียงว่า "อย่ากลัวเลย เพราะเราอยู่กับเจ้า อย่าขยาด เพราะเราเป็นพระเจ้าของเจ้า เราจะเสริมกำลังเจ้า เราจะช่วยเจ้า เราจะชูเจ้าด้วยมือขวาอันชอบธรรมของเรา ... เรา ยาห์เวห์ จะตอบพวกเขาเอง เราพระเจ้าของอิสราเอลจะไม่ทอดทิ้งเขา" (อสย.41:10, 17ข.) จงวางใจ ด้วยการระวังสิ่งที่จะเข้ามาสู่ใจเราให้ดีๆ เพราะชีวิตเริ่มต้นออกมาจากใจ (สภษ.4:23) น้ำในมหาสมุทรที่มากมายไม่สามารถทำให้เรือจมได้ หากแต่น้ำที่รั่วเข้ามาในเรือต่างหากที่จะทำให้เรือจมลง เช่นกัน สิ่งที่เกิดขึ้นไม่สามารถทำให้เราล้มลงได้ แต่สิ่งที่เรายอมเอาเข้ามาในใจต่างหากละที่จะทำให้เราล้มลง ...! ความกลัว ... เกิดเพราะเราคิดมาก ความวิตก ... เกิดเพราะเราคิดเย่อะ ความเครียด ... เกิดเพราะเราคิดไปเรื่อย ไม่มีอะไรจะดีขึ้น แต่ตัวเราเองจะกลับแย่ลง เช่น ร่มไว้กางกั้นฝนไม่หยดลงที่หัวเรา แต่ไม่ได้กางเพื่อให้ฝนหยุด ... พระคุณพระเจ้าไม่ได้ทำให้ปัญหาหมดไป หากแต่เป็นกำลังและสติปัญญาให้เราที่จะเข้มแข็ง มั่นคง ไม่ยอมแพ้เพื่อจะนำพาเราให้ผ่านพ้นเรื่องราวในวันนี้ไปได้ ... สิ่งที่ต้องทำคือ 'จงรักษาความเชื่อไว้' แล้วพระเจ้าจะทรงรักษาชีวิตเราไว้ในสวัสดิภาพที่มั่นคงเอง (อสย.26:3, 2ทธ.2:12, 4:6-8) แต่ให้ทุกวาระนั้นจะผลักดันให้เราเข้าไปใกล้พระองค์ เพื่อจะแสวงหาพระองค์ และไว้วางใจพระองค์มากขึ้น และให้เตรียมตัวเองให้พร้อมเสมอสำหรับทุกสิ่งที่พระเจ้าจะให้เกิดขึ้น ว่าเราควรจะอยู่อย่างไร? เหมือนหญิงมีปัญญา 5 คนที่เตรียมน้ำมันไว้จุดตะเกียงของเธอเพื่อรอคอยเจ้าบ่าวที่จะมาเมื่อไรไม่รู้นั้นเอง (มธ.25:1-13) เฝ้าระวังอยู่ให้ดี เพราะไม่รู้ว่าพระเจ้าจะเสด็จมาเวลาไหน แต่ที่แน่ๆ คือ "...จะมาในเร็วๆนี้ และจะนำบำเหน็จมาด้วย เพื่อตอบแทนตามการกระทำของแต่ละคน" (มธ.24:42, วว.22:12) แล้วเราพร้อมหรือยัง ... สำหรับวันนั้นที่กำลังจะมาถึง? เอเมน Ps.เนตรศักดิ์ ใสรังกา