วันอังคารที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2559

ท่าทีของคนยำเกรงพระเจ้า

"เราสามารถจูงม้าไปที่ใดๆก็ได้ แม้ข้างลำธาร แต่เราไม่สามารถจะบังคับให้มันกินน้ำที่ลำธารได้ หากมันไม่กระหายน้ำ" สรรเสริญพระเจ้า...เมื่อได้ใคร่ครวญ แล้วมองย้อนกลับมาดูตนเอง จึงได้เข้าใจและขอบพระคุณ เพราะพระเจ้าไม่เคยบังคับเราให้ทำอะไรๆ แต่ทรงประทานฤทธิ์แห่งความรักและการรู้จักบังคับตนเองให้กับเรา เพื่อเราจะทำทุกสิ่งถวายพระเจ้า (2ทธ.1:7) นั่นสิ...เมื่อเรามีสิทธิอำนาจที่พระเจ้าทรงประทานให้ เรามีเสรีภาพ อยากจะทำอะไรๆก็ได้ แต่อ.เปโตร ได้เตือนเราว่า ; "จงดำเนินชีวิตอย่างคนมีเสรีภาพ แต่อย่าใช้เสรีภาพนั้นเป็นข้ออ้างเพื่อทำความชั่ว แต่จงดำเนินชีวิตอย่างผู้รับใช้ของพระเจ้า" (1ปต.2:16) เราสาธุการพระเจ้า โดยพระวิญญาณฯที่สถิตภายในเราทำให้เรามีเสรีภาพ (2คร.3:17) แต่น่าเสียดายที่เราใช้เสรีภาพนั้นแสวงหาสิ่งที่อยากจะทำ เพื่อจะทำถวายพระเจ้า ไม่ใช่แสวงหาสิ่งที่พระเจ้าประสงค์อยากให้เราทำถวายพระองค์ (1คร.6:12) เพราะนั่นคือท่าทีของคนยำเกรงพระเจ้าด้วยความรัก หลายๆครั้งที่เราได้บอกว่า "รักพระเจ้า" ด้วยปากของเรา แต่จิตใจของเราห่างไกลจากพระเจ้าเหลือเกิน รู้อะไรไหม...ว่าพระเจ้าทรงเกลียดสิ่งใดที่สุด "และองค์เจ้านายตรัสว่า 'เพราะชนชาตินี้เข้ามาใกล้เราด้วยปากของเขา และให้เกียรติเราด้วยริมฝีปากของเขา แต่ใจของเขาห่างไกลจากเรา เขานมัสการเหมือนเป็นระเบียบ(เป็นพิธี)ของมนุษย์ที่จำกันมา'" (อสย.29:13) สิ่งที่พระเจ้าไม่ชอบ ไม่โปรดปราน คือ การที่เราทำอะไรๆไม่ได้ทำออกมาจากจิตใจภายใน หลายๆครั้งเราเน้นที่การ "ดูดี" ภายนอก เพื่อให้คนทั้งหลาย "ชื่นชอบ" เรา จนเราลืมสิ่งที่สำคัญที่สุดว่าเรามีเสรีภาพอยากทำแบบไหน อย่างไรก็ได้ แต่อย่าใช้เป็นข้ออ้างเพื่อทำในสิ่งที่ถูกใจ สิ่งที่อยากจะทำ แต่ให้เราดำเนินชีวิตอย่างผู้รับใช้ของพระเจ้า "อย่าประดับตัวแต่ภายนอก ด้วยการถักผม การสวมใส่เครื่องทอง หรือการนุ่งห่มเสื้อผ้า แต่จงประดับด้วยบุคลิกที่ซ่อนอยู่ในใจ ด้วยเครื่องประดับซึ่งไม่รู้เสื่อมสลาย คือด้วยจิตใจที่สุภาพอ่อนโยนและจิตใจที่สงบ ซึ่งเป็นสิ่งล้ำค่ายิ่งนักในสายพระเนตรพระเจ้า" (1ปต.3:3-4) พระเจ้าไม่ได้ห้ามเราเรื่องการแต่งตัว แต่ไม่ว่าจะทำสิ่งใดจงทำเพื่อถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า ไม่ใช่ทำเพื่ออวดตัวเอง แต่ให้เราตั้งเป้าหมายที่ว่า "ฉะนั้นเราตั้งเป้าว่าจะอาศัยอยู่ในกายนี้ก็ดี เราก็จะเป็นคนที่พระเจ้าพอพระทัย" (2คร.5:9) ทุกวันนี้...เราเข้าใกล้พระเจ้าด้วยปากหรือด้วยใจ พระเจ้านำเราไปที่ใดๆก็ได้ในโลกนี้ แต่พระองค์ไม่ทรงบังคับเราให้ทำในสิ่งที่ทรงต้องการ แต่ทรงมอบสิทธิในการตัดสินใจเลือกนั้นแก่เรา หลายๆครั้งเรารักพระเจ้าด้วยปาก และเราเน้นเสียงที่ออกจากปากของเราตะโกนและบอกใครๆว่า "เรารักพระเจ้า" หรือ "เราใกล้ชิดอธิษฐานอยู่กับพระเจ้าทุกวัน" หรือ "เราพูดคุยสนิทสนมกับพระเจ้ามากแค่ไหน?" อย่าอวดสิ่งเหล่านี้เลย เพราะอะไรๆที่ทำด้วยปากเสียงนั้นจะไปไม่ถึงสวรรค์ แต่สิ่งใดที่ทำด้วยใจเสียงนั้นจะดังไปถึงสวรรค์ จงพิสูจน์ทุกสิ่งผ่านการกระทำดีดีกว่า มากกว่าการพูด (มธ.3:8) จงให้การกระทำดีอย่างผู้รับใช้ที่จะพูดแทนตัวของเราเอง "จงให้คนอื่นสรรเสริญเจ้า และไม่ใช่ปากของเจ้าเอง ให้คนต่างด้าวสรรเสริญ และไม่ใช่ริมฝีปากของเจ้าเอง" (สภษ.27:2) อย่าลืม...การกระทำมันดังกว่าคำพูด...! อย่าพูดว่าคุณเข้มแข็งดีแล้ว พระวจนะเตือนเราว่า "คนที่คิดว่าตัวเองเข้มแข็งดีแล้ว ระวังจะล้มลง" (1คร.10:12) เพราะคนที่อยู่ใกล้ๆพระเจ้าแท้จริง เขาจะใกล้ชิดและพร้อมจะปรนนิบัติรับใช้พี่น้องอย่างปราศจากการบ่นและการทุ่มเถียงกัน(1ปต.4:9-10) หากสิ่งใดไม่ทำออกมาจากใจ มักจะมีข้ออ้างที่เราจะทำสิ่งที่อยากจะทำมากกว่าจะทำสิ่งที่พระเจ้าอยากให้ทำ เราจะเลือกที่จะชอบคนนั้นและไม่ชอบคนนี้ได้หรือ...? สำหรับคนที่รักพระเจ้าด้วยใจ เขาจะเป็นคนรู้ใจพระเจ้า และเราจะมุ่งทำทุกสิ่งเพื่อให้พระเจ้าพอพระทัยในชีวิตเขามิใช่หรือ? (กจ.20:24) การรักด้วยปากมันง่าย แต่รักพระเจ้าเราต้องรักด้วยใจ (1ยน.3:18) และทุกสิ่งก็ประจักษ์แจ้งต่อหน้าพระพักตร์ แม้แต่ความคิดของเรา (สดด.139:1-6) ฉะนั้น สิ่งที่เราทำออกมา ไม่สำคัญเท่ากับ 'แรงจูงใจ' เพราะอะไรเราจึงทำ เพราะพระเจ้าทอดพระเนตรที่จิตใจ ไม่ใช่ที่รูปลักษณ์ภายนอกที่แสดงออกมา (1ซมอ.16:7, ยรม.17:10) Ps.เนตรศักดิ์ ใสรังกา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น