วันอาทิตย์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2559

หากอยากให้ผู้อื่นเคารพคำพูดของเรา

หากอยากให้ผู้อื่นเคารพคำพูดของเรา ... ก็จงทำให้ผู้อื่นเคารพในตัวเราก่อน

"สักแต่ใช้คำพูดเท่านั้น จะสั่งสอนคนก็ใช้ไม่ได้
เพราะแม้เขาจะเข้าใจ แต่เขาก็ไม่เข้าใจ" (สภษ.29:19)

เอกลักษณ์ของแต่ละคน ... เราต้องมีและรักษาไว้
แต่อย่าให้ความต่าง ... ทำให้เราแตกแยก
เพราะ "จงรักเพื่อนบ้าน เหมือนรักตนเอง" (กท.5:14)

เพราะความฉลาดของมารซาตาน คือ มันสามารถใส่ความคิดของมันในความคิดของเรา แล้วให้เรารู้สึกว่าสิ่งนั้นเป็นความคิดของเราเอง

เราต้องรู้จักพระเจ้าอย่างแท้จริง ... รู้ว่าพระองค์เป็นใคร อย่างที่ทรงเป็น มิใช่ พระองค์ทรงเป็นอย่างไร ในแนวความคิดของเรา เพราะทรงพระนามว่า "เราเป็น ซึ่งเราเป็น" (อพย.3:14)

เมื่อเรารู้ว่าพระองค์ทรงเป็นใครในชีวิตเรา เราจะอยากพบพระองค์ เราจะอยากนั่งลงเพื่อจะเรียนรู้จักพระองค์ ... ใคร่ครวญพระวจนะและอธิษฐาน
เราควรเน้นความเชื่อในพระเยซูคริสต์ก่อน แล้วเราจะพบว่า พระองค์ทรงสามารถช่วยเราได้ทุกสิ่ง!

"ในผู้อื่นความรอดไม่มีเลย เพราะว่านามอื่นซึ่งให้เราทั้งหลายรอดได้นั้น ไม่โปรดให้มีท่ามกลางมนุษย์ทั่วใต้ฟ้า" (กจ.4:12)

ระวัง ... อย่าให้ ยิ่งงานเจริญขึ้น ยิ่งจะเข้าหาพระเจ้าได้น้อยลง จงเข้ามาใกล้ และติดสนิทกับพระเจ้า หากแยกจากพระองค์ ก็ยากที่จะเกิดผลได้จริงๆ (ยน.15:4-5)

การหว่านเป็นงานของเรา การเกิดผลเป็นงานของพระเจ้า (1คร.3:6-7)
ตลอดทั้งสัปดาห์นี้และสัปดาห์หน้า ต้องนำทีมออกประกาศ และแบ่งปันความรักให้กับผู้คนมากมายในหลายๆพื้นที่ และในหลายพื้นที่กลับเป็นเรื่องใหม่สำหรับบางคนกับเรื่องพระนาม "พระเยซูคริสต์"
ไม่มีคนไปประกาศ ... พวกเค้าจะได้ยินข่าวประเสริฐได้อย่างไร? เพราะความเชื่อเกิดเพราะเค้าได้ยินข่าวประเสริฐ (รม.10:14-17) และความรอดเกิดขึ้นเพราะเค้าเชื่อในพระคริสต์ (ยน.3:16)

"และถ้าไม่มีใครใช้พวกเขาไป เขาจะไปประกาศได้อย่างไร? ตามที่มีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า 'เท้าของคนเหล่านั้นที่นำข่าวดีมา ช่างงามจริงๆ หนอ' ... ฉะนั้นความเชื่อเกิดขึ้นได้ก็เพราะการได้ยิน และการได้ยินเกิดขึ้นได้ก็เพราะการประกาศพระคริสต์" (รม.10:15, 17)

แม้อาจจะไม่ได้ไป ... แต่การสนับสนุนของท่านก็ทำให้ผู้นำข่าวดีเหล่านั้นไป จึงถือได้ว่า "ข่าวประเสริฐถูกประกาศออกไป ณ ที่ใด ... ท่านก็ไปด้วยกับพวกเขา ณ ที่นั่น [เพราะผู้ถวาย ผู้อธิษฐานเผื่อ และผู้คอยส่งคำหนุนใจมา ... ก็เป็นเสมือนพระหัตถ์พระเจ้าที่มองไม่เห็นสำหรับผู้ที่พระเจ้าทรงใช้พวกเขาให้ออกไปประกาศข่าวประเสริฐนั้นด้วย] ... นี้ละ คือ การทำงานเป็นทีม ต่างเป็นอวัยวะของกันและกันในพระกายนี้จริงๆ และเราก็ได้รับบำเหน็จเท่าๆ กัน รับความโปรดปรานและคำชมจากพระเจ้าเช่นเดียวกันว่า "ดีมาก เจ้าเป็นทาสที่ดี เพราะเจ้าซื่อสัตย์ในของเล็กน้อย เจ้าจงมีอำนาจครอบครองสิบเมืองเถิด" (ลก.19:17)

Ps.เนตรศักดิ์ ใสรังกา

ความสุขที่แท้

"ข้าพเจ้าวางแบบอย่างให้ท่านแล้วในทุกเรื่อง เพื่อให้เห็นว่าโดยการตรากตรำงานแบบเดียวกันนี้ เราต้องช่วยพวกที่มีกำลังน้อยและระลึกถึงพระวจนะของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า ตามที่พระองค์ตรัสว่า 'การให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ'"
(กจ.20:35)

มิใช่เพราะ ... 'แกแล้ว' หรือ 'ไร้ความสามารถ' หรือ 'ไม่มีเวลา' หรือ 'มีไม่มากพอ' หรือ 'สุขภาพไม่ดี' หรือเพราะอะไรๆ ... ที่เราเอามาเป็นเหตุผลที่จะไม่รับใช้ [แท้ที่จริงล้วนเป็น 'ข้ออ้าง' ทั้งสิ้น] ... จริงๆแล้วที่เราไม่ทำ ที่เราให้ไม่ได้ ... มิใช่เพราะ 'มีน้อย' หรือ 'ไม่มี' แต่เพราะ 'ใจ' เรายังรักพระเจ้า และมีความเชื่อไม่มากพอต่างหากละ! (มก.9:19, ฮบ.13:5)

ทุกสิ่ง ... ขึ้นอยู่ที่ 'ใจ' หากมี 'ใจ' ก็มี 'หนทาง' ที่จะสามารถทำได้ เพราะว่าการรับใช้ คือ 'การให้' อย่างพระเจ้าทรงประทานพระบุตรองค์เดียวอย่างไม่นึกเสียดายเพื่อเราทุกคน (รม.8:32) เพราะเหตุผลเดียว คือ 'รัก' มากกว่าที่จะทนเห็นเราต้องพินาศ

หากไม่มี 'ใจ' อะไรๆก็เป็น 'ภาระ' ทั้งหมด
แต่หากว่ามี 'ใจ' อะไรๆก็เป็น 'พระพร' ทั้งสิ้น

"อย่าเป็นหนี้อะไรใครเลย นอกจากความรักซึ่งมีต่อกัน เพราะว่าผู้ที่รักคนอื่น ก็ได้ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติครบถ้วนแล้ว" (รม.13:8)

"แต่ถ้าใครมีทรัพย์สมบัติในโลกนี้ และเห็นพี่น้องของตนขัดสนแล้วยังไม่เปิดใจช่วยเขา ความรักของพระเจ้าจะดำรงอยู่ในคนนั้นได้อย่างไร?" (1ยน.3:17)

"อย่าพูดกับเพื่อนบ้านของเจ้าว่า 'ไปเถอะ แล้วค่อยมาใหม่ พรุ่งนี้ฉันจะให้' ในเมื่อเจ้ามีให้อยู่แล้ว" (สภษ.3:28)

เพราะว่าธรรมะของพระเจ้า คือ ความเมตตา ช่วยเหลือผู้อื่น (ยก.1:27) "เขาใจกว้างและให้ยืมเสมอ และพงศ์พันธุ์ของเขาก็เป็นพระพร" (สดด.37:26) คนขับผีได้ คนพูดภาษาแปลกๆได้ หรือคนทำการอิทธิฤทธิ์ต่างๆได้ หรือแม้แต่นักเทศน์ ศิษยาภิบาล นักประกาศ ผู้นำนมัสการ หรือคณะกรรมการคริสตจักร ... ตำแหน่งๆใดในคริสตจักรไม่ใช่สิ่งการันตีว่าเราจะได้เข้าในแผ่นดินของพระเจ้าเลย หากแต่ผู้มีใจเมตตาอย่างพระเจ้าต่อผู้อื่นต่างหากละ ถึงจะได้เข้าในแผ่นดินของพระเจ้า (มธ.7:21-23, 25:34-40)

สุดท้ายแล้ว ... มนุษย์ทุกคนก็มี 'ความเห็นแก่ตัว' กันทั้งสิ้น ไม่เว้นแม้แต่ตัวของผู้รับใช้เอง เหตุนี้อ.เปาโลกล่าวว่าอุปนิสัยของคนในวาระสุดท้ายสิ่งแรกเลยคือ 'ความเห็นแก่ตัว' (2ทธ.3:2)

เราเทศนาเรื่อง 'ความเชื่อ' ... แต่กลับทำสิ่งที่ตรงข้าม เราคำนึงถึง 'ความพอและไม่พอ' ของเราเองก่อนที่จะแบ่งปัน
ใช่ ... ทุกๆคนต่างเป็น 'ผู้ให้' ได้ดีอย่างพระคริสต์ แต่น้อยคนที่จะเป็น 'ผู้เสียสละ' ยินดีให้ในสิ่งที่ 'จำเป็น' ของตนเอง หากสิ่งนั้นมันจำเป็นต่อคนอื่น (มก.10:29)

พระเจ้า ... ผู้ทรงเป็นตรีเอกานุภาพทั้งพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณฯ ได้ทรงเสียสละพระบุตรองค์เดียวจากสวรรค์มาเพื่อเรา ... ทำให้สวรรค์ว่างเปล่าไม่มีพระบุตร ก็เพื่อเรา ที่ทรงทำเช่นนั้นก็เพราะ 'รัก' คำเดียว จึงไม่มี 'ข้ออ้าง' อะไรที่จะทำไม่ได้ หรือจะให้ไม่ได้

พระเจ้า ... ไม่ทรงชอบ 'ความว่างเปล่า' เพราะจักรวาลว่างเปล่าพระองค์จึงได้เนรมิตสร้างสิ่งต่างๆให้เต็มทั่วจักรวาล ... และเพราะเรือของเปโตรที่ว่างเปล่า เมื่อมีพระเยซูคริสต์ก็มีปลาเต็มลำเรือจนล้นไปสู่เรือของคนอื่นด้วย (ลก.5:1-7)

แท้จริงแล้ว ... การเสียสละ คือ การยอมให้ในสิ่งที่จำเป็นของเราแก่ผู้อื่น เพื่อให้มีพื้นที่ว่างเปล่า แล้วรอคอยพระเจ้าที่จะเข้ามาเติมให้เต็มล้น เพราะ "จงให้เขา แล้วพวกท่านจะได้รับด้วยแบบยัดสั่นแน่นพูนล้นเต็มหน้าตักของท่าน เพราะว่าเมื่อท่านตวงให้เขาเท่าไร ท่านก็จะได้รับการตวงกลับคืนไปเท่านั้นเช่นกัน" (ลก.6:38) แล้วอย่ากังวล "...พระบิดาของพวกท่านผู้สถิตในสวรรค์ทรงทราบแล้วว่าท่านต้องการสิ่งทั้งปวงนี้" (มธ.6:32)

เมื่อสวรรค์ว่างเปล่า ... ก็เพื่อจะมีพื้นที่ให้คุณและผมที่จะเข้ามาเติมให้เต็ม เพราะ "ในพระนิเวศของพระบิดา ... มีที่อยู่มากมายที่พระเยซูทรงเตรียมไว้รอสำหรับเรา" (ยน.14:2) ฉะนั้น ... จงทำให้คริสต์มาสสมบูรณ์ด้วยการให้ และมากกว่าการได้ให้คือการได้เสียสละเพื่อพระเจ้าและแผ่นดินของพระเจ้า อย่ากังวลว่าจะพอหรือไม่พอ ... เพราะทุกสิ่งเป็นของพระเจ้า และพระเจ้าทรงเป็นเจ้าของเงินและทอง หากแค่มี 'ใจ' อะไรๆก็เป็นพระพรที่มือของเราจะยื่นออกไปให้ เมื่อไรที่มือเราว่างเปล่า พระเจ้าจะทรงเติมให้เต็มล้นเพื่อให้เรามีเหลือเฟื่อเพื่อการดีและการแจกจ่ายต่อไป ... แล้วมือของเราจะช่วยผู้ที่มีกำลังน้อยได้สามารถทำสิ่งที่ประสงค์จะทำให้สำเร็จได้ (2คร.9:6-10)

นี่ละ ... ความสุขที่แท้จริง เพราะ "การให้เป็นเหตุให้มีความสุขมากยิ่งกว่าการได้รับ" ... "อย่าละเลยที่จะทำความดี และแบ่งปันข้าวของซึ่งกันและกัน เพราะเครื่องบูชาอย่างนั้นเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า" (ฮบ.13:16)

Ps.เนตรศักดิ์ ใสรังกา

วันพุธที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2559

คริสต์มาส

อีกไม่นาน ... ก็คริสต์มาสแล้ว มีความสุขจังครับ

คริสต์มาส ... ทำให้เรารู้ว่าเรา ‘สำคัญ’ มากขนาดไหน พระเจ้าจึงได้ประทานพระคริสต์เข้ามาในโลกเพื่อเรา

คริสต์มาส ... มีสิ่งดี เพราะหมายถึง ‘ความสุขส่งตรงมาจากสวรรค์’ เพื่อทุกๆชีวิตจะได้รับความรอด

คริสต์มาส ... ทำให้เรามีความหวัง “เพราะว่าท่านจะช่วยชนชาติของท่านให้รอดบาปของพวกเขา” และเรารู้ว่านับแต่นี้ ‘เราจะไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไป เพราะ “องค์อิมมานูเอล พระเจ้าทรงสถิตกับเรา” (มธ.1:21-22) นี่เป็นสุดยอดของ ‘ข่าวดี’!

คริสต์มาส ... พระเจ้าได้ยืนยันว่า “พระเจ้าโปรดปรานมาก” ฉะนั้น “จงชื่นชมยินดี” และ “อย่ากลัวเลย” เพราะ “องค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตอยู่กับเรา” (ลก.1:28, 30) นี่เป็นสุดยอดของ ‘ข่าวดี’!

“เพราะว่าไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่พระเจ้าทรงทำไม่ได้” (ลก.1:37)

‘ความหวัง’ ทำให้เรามองเห็น ‘พระสัญญา’ ของพระเจ้าที่อยู่เหนือ ‘ปัญหา’ ของมนุษย์

“ทูตสวรรค์จึงตอบนางว่า ‘พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จลงมาเหนือเธอ และฤทธิ์เดชของผู้สูงสุดจะปกเธอ ...” (ลก.1:35)

ฉะนั้น ... จงวางใจ และกล่าวเช่นมารีย์ว่า “ข้าพเจ้าเป็นทาสขององค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าพร้อมที่จะเป็นไปตามคำของท่าน” (ลก.1:38) จากสิ่งที่เป็นไปไม่ได้จะกลับเป็นไปได้ทั้งสิ้น!

เราจะมีประสบการณ์ในความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ... จากสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ กลายเป็นไปได้ ... เมื่อเรา 'ยอมจำนน' ต่อพระเจ้าหมดทั้งสิ้น เช่น นางมารีย์ เพื่อให้พระวิญญาณฯของพระเจ้าสถิตอยู่เหนือชีวิตเรา

อยากจะมีชัยอยู่เหนือทุกปัญหา ... จงยอมให้พระคริสต์อยู่เหนือชีวิตของเรา ให้ปัญหาเป็นเครื่องมือทำให้เราเข้าใกล้พระเจ้ามากขึ้น ... ยิ่งใกล้พระเจ้า ยิ่งห่างไกลปัญหา แต่ยิ่งไกลพระเจ้า ก็ยิ่งใกล้ปัญหา

เมื่อใดที่เราถูกยกให้สูงขึ้นด้วยปัญหาแล้ว ... อย่าละสายตาจากพระเจ้า มองที่เบื้องบนเราจะเห็นพระพักตร์ที่ทอแสงท่ามกลางความมืดมิด ... แต่เมื่อใดที่เราละสายตาจากพระเจ้าก้มมองเบื้องล่าง [ปัญหา] จะมีแต่ความหวาดเสียวในหัวใจ ความกลัวจะเข้ามาแทนที่ความเชื่อ ... เมื่อนั้น ที่เราจมมิใช่เพราะพระเจ้าหรือปัญหาหรอก หากแต่เพราะเราเองละที่ละสายตาจากพระเจ้าเอง

Ps.เนตรศักดิ์  ใสรังกา

เมื่อใจข้าขมขื่น

"เมื่อใจของข้าพระองค์ขมขื่น เมื่อข้าพระองค์เสียวแปลบถึงหัวใจ ข้าพระองค์เขลาและไม่รู้เรื่อง ข้าพระองค์ประพฤติตัวเหมือนสัตว์ต่อพระองค์" (สดด.73:21-22)

หลายๆครั้งที่เรายินยอมให้ความขมขื่นเพราะอะไรบางอย่าง หรือกับใครบางคนเข้ามาครอบงำความคิดของเรา แล้วเราก็กักขังตัวเองไว้ในความสงสารตัวเอง และเฝ้าถามหาความยุติธรรมว่าอยู่ที่ไหน? แถมบางทีเราก็ทำอะไรอย่างสิ้นคิด ตามอารมณ์ ประชดประชัน น้อยอกน้อยใจ หรือโกรธ ... เราได้เขลาและทำไปอย่างไม่รู้เรื่อง ทำตัวตามสัญชาตญาณเหมือนสัตว์ แบบว่า ... พร้อมสู้เพื่อรักษาสิทธิ์ ในสภาวะเพื่อ "เอาตัวรอด" หรือคิดว่า "อดและทนมาพอแล้ว ขอทีเห่อะ...!"

เราได้ลืม "ความจริง" ว่าเราเป็นใคร? และเราได้ลืมว่า...พระเจ้าทรงเป็นผู้ใด? ทรงอยู่ในเราแล้วในขณะนี้ ... และเราได้มอบชีวิตของเราให้กับพระเจ้าทรงครอบครองแล้วตั้งแต่วันที่เราได้ตัดสินใจรับเชื่อ ฉะนั้น ...
"ข้าพเจ้าไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่พระคริสต์ต่างหากที่ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า ชีวิตซึ่งข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในร่างกายขณะนี้ ข้าพเจ้าดำเนินโดยความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้าผู้ได้ทรงรักข้าพเจ้า และได้ทรงสละพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า" (กท.2:20)

ใช่...เราลืมความจริงนี้ไปแล้วจริงๆ ว่าเราได้มอบชีวิตนี้แด่พระเจ้าไปหมดแล้ว เราเชื้อเชิญพระองค์เข้ามาในชีวิตเป็นเจ้านาย และองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราแล้ว และขณะนี้ ... พระวิญญาณฯของพระเจ้าทรงประทับอยู่ภายในเรา ฉะนั้น...วันนี้ หากเรายินยอมให้ความขมขื่น ความเจ็บช้ำนั้นอยู่ในหัวใจของเรา และไม่ยอมจะให้อภัย หรือบางที ... บางคนอาจจะคิดว่า "ไม่เป็นฉัน ... ก็ไม่รู้หรอกว่ามันเจ็บปวดมากแค่ไหนที่ 'มัน' คนนั้นได้ทำกับฉัน? และไม่รู้หรอกว่า "มัน" คนนั้นได้ทำอะไรกับฉันบ้าง?"

โอ ... เราช่างเขลาจริงๆ มีสิ่งใดที่ปิดซ่อนจากพระเจ้าได้อีกหรือ? "พระเนตรของพระองค์เห็นข้าพระองค์ตั้งแต่ยังไม่เป็นรูปทรง วันทั้งสิ้นที่กำหนดให้ข้าพระองค์นั้นถูกบันทึกไว้ในหนังสือของพระองค์ตั้งแต่ยังไม่มีวันนั้นเลย" (สดด.139:16)

ไม่รู้หรือว่า การกระทำอย่างนั้น การคิดแบบนั้นเป็นการทำให้พระวิญญาณฯที่รักเรานั้นเสียพระทัย และเราก็ได้ทำให้การตายของพระคริสต์ไร้ค่าจริงๆ (อฟ.4:30-31) ... พระคำเตือนเราว่า "อย่าปล่อยให้ความข่มขื่นงอกขึ้นในใจ เพราะมันจะก่อให้เกิดความยุ่งยาก และทำให้เราเองเป็นมลทินต่อพระพักตร์พระเจ้า แล้วเราจะขาดจากพระคุณพระเจ้า <น่ากลัวจัง!> (ฮบ.12:15)

และทำไมเราทำไม่ได้ อภัยไม่ได้ ก็เพราะว่าเราเอาแต่คิดถึงความเจ็บปวด และพูดเยินยอความเจ็บช้ำนั้นไม่เลิก เรากำลังยกเครดิตให้มันยิ่งใหญ่กว่าพระเจ้าของเราเสียอีก! เราลืมแล้วหรือว่า... "เราได้ตายแล้วจากความรู้สึกเหล่านั้น" และบัดนี้เราก็มีชีวิตใหม่อยู่ในพระคริสต์เรียบร้อยแล้ว เราย้อนเวลากลับไปแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตไม่ได้ และความเจ็บช้ำทั้งหลายก็เป็นเรื่องราวเป็นประวัติศาสตร์ของชีวิตเรา ... ทำไม เราไม่เชื่อว่าพระเจ้าทรงรักเรามากขนาดไหน ทรงสละพระบุตรองค์เดียวแก้วพระเนตรของพระองค์มาตายอย่างทรมานเพื่อไถ่เราจากความเจ็บปวดทั้งสิ้นในอดีต (รม.8:32-33) เพื่อที่เราจะมีชีวิตใหม่ในปัจจุบัน และเราจะสามารถสร้างวันพรุ่งนี้ให้เป็นอดีตที่สวยงามใหม่ของเราได้จริงๆ

จงเลิกยกย่องอดีตที่เจ็บปวด หันมายกย่องสรรเสริญพระเจ้าแทนดีกว่า?! รู้ไหม...คนที่เอาแต่ไปพรรณาถึงบาดแผลในอดีตที่เกิดเพราะบางสิ่งหรือกับใครบางคนไม่หยุดนั้น เขาเป็นคนที่น่าสงสารจริงๆ เพราะเขาชอบที่จะเป็น "นักโทษ" มากกว่าที่จะเป็น "อิสระ" จริงๆ

พูดไป บ่นไปก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นหรอกนะ ... มีแต่จะเลวร้ายลงเรื่อยๆ และที่สำคัญคำพูดของเราในวันนี้ ไม่นานก็จะวนกลับมาทำร้ายเราเองเข้าสักวันแน่ๆ ... จงเข้ามายกย่องและสรรเสริญพระเจ้าดีกว่า อย่าลืมสิ ... เราลูกใคร?! เราลูกพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ เรามีสิทธิอำนาจยิ่งใหญ่กว่าฤทธานุภาพของศัตรู [มาร] ไม่มีอะไรจะมาทำอันตรายพวกเราได้เลย (ลก.10:19) หากว่าเราไม่ยินยอม เพราะ..."ทุกสิ่งที่เรากล่าวห้ามในโลก ก็จะถูกห้ามในสวรรค์ด้วย และสิ่งใดที่เรากล่าวอนุญาตในโลก ก็จะได้รับการอนุญาตในสวรรค์ด้วย" (มธ.16:19)

ว้าววววว...เรามีสิทธิอำนาจถึงเพียงนี้ แล้วเราเคยใช้บ้างหรือยัง? รู้ไหม ... คนโง่ที่สุด คือ เมื่อรู้ว่าตัวเองมีอะไรในมือแต่ก็ไม่เคยใช้มันเพื่อประโยชน์ของตัวเองเลยยังไงละ?!

วันนี้...เรายินยอมให้ความเจ็บปวด ขมขื่น การไม่ยอมให้อภัยนั้นอยู่ในเรา หรือเราสั่งมันว่า จงไปเสียให้พ้นไอ้ความเจ็บปวด ความขมขื่น และการไม่ให้อภัย...

อธิษฐานแบบนี้สิ...;
"เพราะบัดนี้ ข้าจะเริ่มต้นใหม่กับชีวิตใหม่ เพราะพระเจ้าพระบิดาของข้าได้สะสมสิ่งดีๆมากมายไว้รอข้าแล้ว และถึงเวลาแล้วที่ข้าจะทิ้งสิ่งเก่าเพื่อจะคว้าสิ่งใหม่ที่ดีกว่า ประเสริฐกว่า ไม่ว่าจะอาชีพที่ดี ครอบครัวที่ดี สุขภาพที่ดี การเงินที่ดี การเรียนที่ดี คู่ชีวิตที่ดี คริสตจักรที่ดี พี่น้องที่ดี รถที่ดี และอื่นๆอีกที่ดีๆนับไม่ถ้วนที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้สำหรับคนที่รักพระนามของพระองค์ ฉะนั้น...วันนี้ ข้าจะไม่ยอมให้อดีตที่เจ็บปวดมาฉุดรั้งข้าอีกต่อไป ข้าขอเลิกกับเอ็งไอ้ความเจ็บปวด ความขมขื่นและการไม่ให้อภัย จิตใจของข้าไม่มีที่ว่างสำหรับเอ็งอีกต่อไป และจงไปให้พ้นจากข้า อย่าได้กลับมาอีก เพราะนับจากนี้ข้าจะหันไปรักแต่พระเจ้าองค์เดียว และทุกพื้นที่ในหัวใจนี้มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่ครอบครอง ... ในพระนามพระเยซูคริสต์ เอเมน"

แค่นี้ ... เสรีภาพที่แท้จริงก็เกิดขึ้นกับเราแล้วละ แล้ววันนี้ ... "เหตุฉะนั้น เมื่อเราได้รับอาณาจักรที่ไม่สั่นสะเทือนแล้ว ก็ให้เรามีใจขอบพระคุณ โดยเหตุนี้เราจึงนมัสการอย่างที่ชอบพระทัยของพระเจ้า ด้วยความเคารพและด้วยความยำเกรง" (ฮบ.12:28)

และเชื่อสิ...การไปโบสถ์ และการไปสามัคคีธรรมกับพี่น้องของเราในวันนี้จะไม่เหมือนเดิม เมื่อเราได้พบพระคริสต์แล้วสิ่งสารพัดที่เก่าๆจะหลุดร่วงไป นี่แน่ะจะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งสิ้น (2คร.5:17)

พระเจ้าอวยพระพร
Ps.เนตรศักดิ์ ใสรังกา

วันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2559

สิ่งร้ายกาจคือความคิดลบ

"พวกศัตรูกล่าวไม่ดีถึงข้าพเจ้าว่า 'เมื่อไรเขาจะตายนะ ชื่อของเขาจะได้สูญไป' เมื่อคนใดมาเห็นข้าพเจ้า เขาก็พูดเท็จ ขณะที่ใจของเขาเก็บเรื่องร้าย เมื่อเขาออกไป เขาก็ป่าวร้องไป ทุกคนที่เกลียดข้าพเจ้า ก็ซุบซิบกันถึงเรื่องข้าพเจ้า พวกเขาปองร้ายข้าพเจ้า"
(สดด.41:5-7)

สิ่งที่น่ากลัวกว่าอาวุธใดๆ มากกว่าปรมาณูนิวเคลียร์ใดๆ ก็คือ 'ความคิด' ของค-น

หลายครั้งที่บุคคลที่ได้ชื่อว่า 'ผู้เชื่อ' ในพระเจ้า หรือแม้แต่ 'ผู้รับใช้' ที่อาจจะมีความคิดเช่นนี้ ... เมื่อไรที่เราใช้ความ 'พอใจ' ส่วนตัวตัดสินพี่น้อง เมื่อเราพบสิ่งที่ไม่พอใจในตัวพี่น้อง แทนที่จะมองให้เป็น 'โอกาส' ที่จะได้ 'รัก' มากขึ้น กับกลายเป็น 'โอกาส' ที่จะใช้ 'ความรู้' ที่รู้มาตัดสินพี่น้อง

"...คือให้ทุกคนไวในการฟัง ช้าในการพูด ช้าในการโกรธ" (ยก.1:19) "...'จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง' พวกท่านก็ทำดี แต่ถ้าพวกท่านลำเอียง ท่านก็ทำบาป และถูกตัดสินว่าเป็นผู้ละเมิดธรรมบัญญัติ" (ยก.2:8-9)

หน้าที่ 'การตัดสิน' เป็นงานของพระเจ้า ... แต่หน้าที่ 'การให้อภัย' เป็นงานของเรา
'การแก้แค้น' เป็นงานของพระเจ้า ... แต่การ 'ยกโทษ' เป็นงานของเรา (รม.12:19-20)

"ถ้าพวกท่านจะอภัยบาปของใคร บาปของพวกเขาก็จะได้รับการอภัย ถ้าท่านไม่อภัยบาปของใคร บาปของพวกเขาก็จะไม่ได้รับการอภัย" (ยน.20:23) สิ่งเดียวที่จะทำให้พระวิญญาณฯทรงเสียพระทัย คือ การเก็บความเอาทรงจำที่เจ็บปวดไว้ และไม่ยอมให้อภัย (อฟ.4:30-31) "...และถ้าใครมีเรื่องราวต่อกัน ก็จงให้อภัยกัน องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงให้อภัยท่านอย่างไร ท่านก็จงทำอย่างนั้นด้วย" (คส.3:13)

ทำไม ... เราให้อภัยไม่ได้ เพราะว่า เรากำลังเรียกร้องความเป็นธรรมจากโลก นั้นแสดงว่าเรากำลังสงสัยความยุติธรรมของพระเจ้า และกำลังจดจ่อที่บาดแผลที่ได้รับเพราะเค้าคนนั้นมากไป จงคิดใหม่ว่า "เราเจ็บ เพื่อจะหายดีจากโรคบาป" ต่างหากละ!

อาจจะมีหลายคนอยากจะ 'กำจัด' เราไปให้พ้นทาง พอๆกับเราเองก็อาจจะทำเช่นนั้นกับใครบางคน ... เรา Block Facebook ลบ Line หรืออะไรๆที่เราทำได้ เรามีสิทธิ์ที่จะทำเพราะมันแค่ปลายนิ้วเราเท่านั้น ... แต่เราไม่อาจจะลบเค้าไปจากความทรงจำจากใจเราได้ ... การให้อภัย คือ การไม่ยอมให้คนใน 'ความทรงจำ' มาเหยียบย่ำทำลายความสุขของชีวิตใน 'ปัจจุบัน' ของเราเอง

เรื่องการแก้แค้น และการอยากเอาชนะ เป็นเรื่องของเด็กๆ เขาทำกัน
แต่เรื่องการให้อภัย ... และสร้างสันติ อยู่อย่างสงบสุขกับทุกคนได้เป็นสิ่งที่คนที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้วเขาทำกัน

คุณธรรมที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้า คือ 'จงรักศัตรู' และมิใช่เพียงแค่รัก และยังต้องทำดีตอบแทนสิ่งชั่วที่เขาทำต่อเราด้วย (มธ.5:43-48) เรามิได้เกิดมาเป็น 'ตัวปัญหา' ของใคร แต่หากใครจะมองเราเป็น 'ตัวปัญหา' ก็จงปล่อยให้เขาคิดไป ... พอๆกับที่เราห้ามนกบินข้ามหัวเราไม่ได้ แต่เราห้ามมิให้มันมาทำรังบนหัวเราได้ เช่นกัน เราไม่สามารถห้ามความคิดใครได้ แต่เราสามารถไม่ให้สิ่งที่เขาคิด พูด หรือทำต่อเรามารกหัวเราได้ ... !

จงชื่นใจ อย่าทำชั่วตอบแทนชั่ว อย่าให้ความชั่วชนะเราได้ (รม.12:21) "จงวางใจในพระยาห์เวห์ และจงทำความดี... อย่าฉุนเฉียวเพราะคนทำชั่ว อย่าอิจฉาคนทำผิด" (สดด.37:3,1) ใครจะซุบซิบนินทาเราอย่างไร ก็ช่างเขา ... ห้ามเขาไม่ได้หรอก จงบังคับห้ามใจตัวเอง อย่าไปตอบโต้ ... แต่จงตอบสนองอย่างคนมีพระเจ้า และมีปัญญาเขาทำกัน

"ส่วนข้าเอง ข้าจะแสวงหาพระเจ้า และข้าจะมอบเรื่องของข้าไว้กับพระเจ้า" (โยบ 5:8) ทำใจ ... เพราะไม่มีเรื่องดีในวง 'ซุบซิบนินทา' หรอก และไม่มีใครจะไม่เคยโดน! จงเข้มแข็งและทำดีต่อไป ... เพราะอะไรละที่จะชอบอยู่กับเรื่องเน่าๆ นอกจากพวก 'ฝูงนกแร้ง' (มธ.24:28) แต่เราเป็น 'นกอินทรี' และ 'นกพิราบ' ของพระเจ้า เราชอบอยู่กับสิ่งดี สิ่งสวยงาม ... เพราะความรักคือการเชื่อในส่วนดีของกันและกันเสมอ มีความหวังอยู่เสมอ และทนต่อทุกอย่างได้ มิใช่หรือ? (1คร.13:4-7)

จงให้อภัย ... ยกโทษ เพราะนั้นละ จะทำให้เราเป็นเหมือนพระเจ้ามากยิ่งขึ้น แต่หากเราโกรธ ฉุนเฉียว เราก็จะเป็นเหมือนมารมากขึ้น จะเป็นเหมือนพระเจ้า หรือจะเป็นมาร ... เรามีโอกาสได้เลือกจะเป็นได้เพียงโอกาสนี้เท่านั้นนะ ... จำไว้!!!

Ps.เนตรศักดิ์  ใสรังกา